Zreast
2023
2023
2020
2023
2023
2023
2019
(ของเก่าจากเพจ Juke With Me - รีวิวหลังเกมออกไม่นาน)
การนับเลข 3 ของซีรียส์โหด มัน ฮา อย่าง Borderlands หลังจากห่างหายจากภาคล่าสุดอย่าง Pre-Sequel ไปร่วม 5 ปี และ Tales from the Borderlands ไปอีก 4 ปี
ถึงตัวเลขมันจะไม่ได้นานมากนัก แต่ก็ต้องบอกว่า มันรู้สึกเหมือนรอมานานจริงๆ เพราะเนื้อเรื่องหลักมันแทบไม่ได้คืบหน้าไปจากภาค 2 เท่าไหร่ ก็ต้องบอกว่าโชคดีที่การรอคอยมันสิ้นสุดลงสักที ตอนนี้ยังเล่นไม่จบแต่อยากรีบมาเล่าสู่กันฟังสักนิดหน่อยก่อน
- ถ้าไม่นับข่าวเดือดๆ ในช่วงก่อนเกมออก (ที่เยอะใช่ย่อย😂) ก็ต้องบอกว่าตัวอย่างที่ทาง Gearbox เผยนั้นยกระดับให้ตัวเกมดูอาร์ตขึ้นเยอะเลย
- มันมาทรงนี้จริงๆ เพราะแค่ปกเกมก็อย่างเท่แล้ว แถมถ้าใครซื้อแผ่นก็จะทราบว่าตัวปกทำเป็นสีเรืองแสงๆ เหมือนพวกการ์ดฟอยล์ด้วย สุดจะงาม
- จะไม่พูดถึงไม่ได้คือ Intro เปิดเกม ที่กระตุกความ hype แรงๆ ให้หายคิดถึง คือขึ้นมาเจอมาร์คัสเล่าเรื่องก็น้ำตาซึมแล้ว ทั้งยังช็อต Signature ระหว่างเจ้า Skag กับแก๊ง Bandit ก็ยังมีให้เห็น
- เป็นการเปิดเกมที่สนุกมากอย่างที่ทุกคนจะต้องชอบไม่ใช่แค่แฟน Borderlands เท่านั้น. เรายิ้มไม่หยุดเลย แค่นี้ก็มีความสุขแล้วจริงๆ
- ภาพรวมอาจจะไม่ได้พีคมากอย่างที่ Pre-Sequel ทำเอาไว้ ที่พาเราทะยานขึ้นอวกาศกันมันส์ๆ แต่เริ่ม อันนี้ก็จะเป็นอีกฟีลนึง แต่แน่นอนว่าเพลงเปิดก็ยังคงเลือกมาได้ฉลาดมากเช่นเดิมอยู่ดี ฟังเพลินๆ โยกตามอย่างสนุกๆ
- First Impression หลังจากเริ่มบังคับตัวละครได้ ก็คือ Performance โคตรเลวร้าย
- สำหรับแพลตฟอร์ม PS4 คือกระตุกแบบถ้าเล่นต่อมีหวังมึนตาย (ขนาดเครื่องโปร) ตรงนี้ต้องไปปรับใน Option ให้เลือกจะเน้น Performance มากกว่า Resolution ก็จะกลับมาลื่นปกติ แต่ก็งงเหมือนกันว่าถ้ามันกระตุกขนาดนี้ก็ควรจะปรับ Prefer Performance เป็นค่าตั้งต้นแล้วรึเปล่า?
- ทั้งนี้สำหรับ XBOX ไม่รู้ว่าเจอแบบนี้ไหม ส่วน PC ก็คงไม่น่าเป็นปัญหา เพราะเราต้องปรับให้รู้สึกว่าลื่นก่อนเล่นอยู่แล้ว
- การพูดโต้ตอบของตัวละครเรากับ NPC ก็ยังรู้สึกว่าไม่มีชีวิตชีวาเท่าไหร่ เพราะมันเว้นจังหวะแบบดูออกว่าไม่ไหลลื่น แถมในคัทซีนเราก็ยังเป็นใบ้อยู่ดี
- Unreal Engine 4 สุดยอด ฟิสิกส์ในเกมพัฒนาขึ้นไปเยอะมาก เหยียบต้นไม้ใบหญ้าก็มีล้มตาม แสงเงาตกกระทบนี่จัดเต็ม แถม Texture ก็มีการเปลี่ยนด้วย อาทิกำแพงผนัง ที่เวลาโดนยิงก็จะมีแตกกระจุยออกมาเป็นชิ้นๆ
- ภาพงามขึ้น เลยแอบรู้สึกว่ามันดูสมจริงไม่สมกับคำว่า Unreal เหมือนกัน จะค่อนข้างคล้ายกับหลายๆ เกมในยุคนี้ จนเฉยๆ กับอาร์ตสไตล์แบบนี้แล้ว ขึ้นอยู่กับมุมมองจริงๆ ว่าชอบมั้ยที่ภาพมันพัฒนามาในทางนี้ การมีเส้นคล้ายการ์ตูนมันกลายเป็นกรอบสำคัญที่ทำให้กราฟิคกระโดดไปมากกว่านี้ไม่ค่อยจะได้ แต่เอาเถอะ ส่วนตัวมองว่าพัฒนาเรื่องไลต์ติ้งให้ดูดีมาได้ขนาดนี้ก็พอใจแล้ว
- UI ทันสมัยขึ้นในแบบของ Borderlands. ภาพลักษณ์เวลายิงแล้วเห็นหลอดเลือดค่อยๆ ลด ตัวเลขวิ่งกระจุยอะไรงี้ดูสมูทขึ้น เลยพลอยรู้สึกว่ายิงสนุกขึ้นด้วย
- ล้อนู่นนี่มีให้เห็นเต็มไปหมด มุกเลวๆ มุกเล่นคำ มุกตลกร้ายก็ยังเยอะเหมือนเดิม เล่นทิ้งเล่นขว้าง ยิง 10 ฮาสัก 2 ตามฟอร์มของซีรียส์นี้ บางมุกก็ไม่รู้ว่าจะต้องรู้สึกยังไงกับแม่งดี
- Map กลายเป็นสามมิติให้ซูมๆ หมุนๆ ดูได้ ลดความปวดหัวระหว่างทำเควสลงเยอะมาก ช่วยมากจริงๆ เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ตอบโจทย์สุด
- เพิ่มการปีนป่ายเข้ามา ทำให้เคลื่อนที่ผ่านสิ่งกีดขวางอิสระขึ้น เป็นลูกเล่นที่ถูกเอามาต่อยอดเยอะมากในเกม เรียกว่าใช้คุ้ม
- ส่วนปืนนี่ไม่ต้องห่วง มีของเล่นใหม่เยอะมากกกก เลือกใช้กันเพลิน แต่ละยี่ห้อก็บาลานซ์กันดีกว่าเมื่อก่อนด้วย
- มีบั๊กให้เห็นค่อนข้างมากทีเดียว ทั้งแสดงเควสผิด, ขึ้นคนพูดผิดรูป, ฟีเจอร์ไม่ปลดล็อค กด Fast Travel ไม่ได้ ต้องเข้า Option ไปรีเซ็ต Tutorial ใหม่ (เรื่องร้ายแรงนะเฮ้ย) รวมถึงเควสบั๊กก็มีให้เห็นเยอะ แต่เท่าที่เจอทั้งหมดแก้ได้ด้วยการออกเกมแล้วกลับเข้ามาใหม่
- บางทีก็รุนแรงถึงขนาดเกม crash ไปเลย
- ซับไตเติ้ลยังขึ้นไม่ค่อยตรงกับเสียงที่พูดจริงๆ อันนี้เป็นปัญหาที่เจอมาตั้งแต่ภาค 2 / Pre แล้ว และเหมือนจะเป็นแค่คอนโซล เพราะตอนเล่น PC (ภาคเดียวกัน) ไม่ยักเจอ บางจังหวะจะถึงขนาดว่าพูดประโยคยาวๆ ไปสัก 2-3 วิ แล้วถึงจะสลับเอาส่วนที่แสดงไม่หมดขึ้นมาให้อ่านต่อ แต่พอพูดจบก็จะหายไปเลย กลายเป็นว่าอ่านประโยคหลังๆ ไม่ทันงี้
- บางครั้งถ้าเรากำลังกดหรือทำอะไรอย่างอื่นอยู่ระหว่างตัวละครพูด ซับก็จะไม่แสดงเลยด้วยซ้ำ กลายเป็นว่าต้องฟังๆ จับใจความเอาเอง
- ยังคงเป็นเควสในเควสในเควสเหมือนเดิม คือถ้ารับมันทุกเควสที่ขวางหน้านี่ พอจบอันนึงไปต่ออันนึงก็ถือว่ามึนอยู่เหมือนกัน
- แต่ทุกเควสภาคนี้ถือว่าดีไซน์มาดี ไร้สาระก็ไร้สาระให้สุด เรารู้สึกว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเรื่องหลักขึ้นเยอะ
- ตัวละครภาคนี้มีสเน่ห์น่าสนใจทั้งที่มาใหม่และหน้าเก่าๆ เลย รู้สึกว่ามันเป็นจุดบรรจบจากภาคก่อนๆ ที่ลงตัวมาก ทุกคนดูอยู่ถูกที่ถูกทาง และเกี่ยวข้องกันเหมาะเจาะ ที่สำคัญหลายคนก็เปลี่ยนลุคไปแล้วดูดีขึ้น
- ถ้าถามว่า โลกที่ไม่มีแจ๊คจะยังสนุกอยู่อีกเหรอ? ก็ต้องบอกเลยว่าสนุก มันมูฟออนเลยจุดนั้นไปไกลแล้ว
- (สปอยล์นิดหน่อย) คือดีใจ+ตกใจมาก ที่ได้เห็นการกลับมาของ Rhys (พระเอกของ Tales) อารมณ์แบบเฮ้ยจะได้เห็นความเป็นไปของตัวละครนี้ต่อ แต่พอได้เจอจริงๆ ถึงรู้ว่าเสียงพากย์มันไม่ใช่ Troy Baker นี่หว่าาา ก็เลยกลับไปตามๆ ข่าวแล้วถึงรู้ว่ามีดราม่าเกี่ยวกับการเปลี่ยนนักพากย์ของ Rhys อยู่ ก็ถือว่าน่าเสียดาย และมันทำให้รู้เลยว่าเสียงพากย์นี่มีผลต่อภาพลักษณ์ของตัวละครจริงๆ แฮะ รู้สึกเหมือน Rhys กลายเป็นคนละคนไป แต่เอาเถอะ ฟินๆ หายคิดถึง รู้สึกว่าทีมงานใส่ใจกับการนำเอา Tales มาเชื่อมกับจักรวาลหลักมากๆ
- สำหรับใครเสียดายความเวิ้งๆ ตะลุยอวกาศแบบภาค Pre-Sequel ก็หายห่วงได้ว่าภาค 3 ยังคงมีกลิ่นอายแบบนั้นอยู่ แถมสภาพแวดล้อมโลเกชั่นนี่หลากหลายขึ้นเยอะจริงๆ เรียกว่าเสพทิวทัศน์กันจนงามตา
- เนื้อเรื่องขยายสเกลขึ้นใหญ่โตมาก และน่าจะสนุกจุใจสมกับที่รอไม่มากก็น้อย
- แต่ละแบรนด์ที่ผลิตปืนเข้ามามีบทบาทกับเรื่องมากขึ้น ให้เห็นว่าจักรวาลนี้มันมีที่มาที่ไปหมด อยากรู้หน้าค่าตาของเจ้าของแบรนด์อื่นๆ นอกเหนือจาก Hyperion. ก็จะได้เห็น
- แก๊ง Bandit ที่เรียกว่าเป็นจุดขายของภาคมีการปรับเปลี่ยนไปนิดหน่อย เก่าไปใหม่มา เปลี่ยนจาก Midget (คนแคระตัวเล็กๆ เสียงกวนๆ) เป็น Tink แทน พาร์ทนี้ถือว่าเป็นสีสันของเกมที่ขาดไม่ได้ คือวันไหนเครียดๆ ได้กลับมาสาดกระสุนใส่เจ้าพวกนี้ก็ระบายอารมณ์ไปอีกแบบ
- เพลงที่ Insert เข้ามาในเกมคือที่สุด ทั้งระหว่างสู้บอสที่มันมากจนต้องโยกตาม หรือบาง Chapter ที่เปิดเพลงโคตรโดน ช่วยเติมรสชาติให้เล่นสนุกขึ้นมากจริงๆ (Chapter ที่ว่านี่น่าจะสนุกที่สุดตั้งแต่เล่น Borderlands มา)
- จากที่เห็นในตัวอย่างเราจะได้เห็นเมืองเท่ๆ ล้ำๆ ให้ฟีล Cyberpunk เบาๆ อันนี้ก็เป็นจุดที่สอบผ่านของเกม และใส่สีสันแสงนีออนเข้ามาเยอะดูงามตาไปหมด คือได้เสพบรรยากาศจนอิ่ม เป็นอีกมิติของเกมที่แปลกใหม่แต่ถูกใจมาก
โดยรวมแล้ว Borderlands 3 ถือเป็นการรียูเนี่ยนของตัวละครที่หายคิดถึงเป็นปลิดทิ้ง ยังคงเป็นเกม Shooter Looter บู๊แหลกแจกกระสุน ที่แม้จะตกยุคไปสักหน่อยสำหรับปี 2019 แต่ก็ต้องบอกว่ามันคือสูตรที่เคยประสบความสำเร็จมาแล้ว และ Gearbox ก็ยังมั่นคงกับมันต่อ แค่นั้นก็น่าพอใจยิ่ง สำหรับความเป็นภาคต่อที่อย่างน้อย พวกเขาก็ทำส่วนที่ดีให้ยังคงดีอยู่
ในจุดของความที่เป็นภาค 3 จึงต้องเรียนด้วยเช่นกันว่า ถึงเนื้อเรื่องจะไม่ซับซ้อน แต่มันก็เล่าไปอีกสเกลหนึ่งแล้ว ดังนั้นถ้าเพิ่งมาเล่นใหม่ภาคนี้ก็จะรับไปได้แค่ส่วนของความสนุกเท่านั้น ถ้าจะเอาให้อินกับเนื้อเรื่องด้วย อาจจะต้องย้อนกลับไปเล่นอย่างน้อยก็ 2 เกม คือ Borderlands 2 (รวม DLC สุดท้าย) และ Tales From the Borderlands
การนับเลข 3 ของซีรียส์โหด มัน ฮา อย่าง Borderlands หลังจากห่างหายจากภาคล่าสุดอย่าง Pre-Sequel ไปร่วม 5 ปี และ Tales from the Borderlands ไปอีก 4 ปี
ถึงตัวเลขมันจะไม่ได้นานมากนัก แต่ก็ต้องบอกว่า มันรู้สึกเหมือนรอมานานจริงๆ เพราะเนื้อเรื่องหลักมันแทบไม่ได้คืบหน้าไปจากภาค 2 เท่าไหร่ ก็ต้องบอกว่าโชคดีที่การรอคอยมันสิ้นสุดลงสักที ตอนนี้ยังเล่นไม่จบแต่อยากรีบมาเล่าสู่กันฟังสักนิดหน่อยก่อน
- ถ้าไม่นับข่าวเดือดๆ ในช่วงก่อนเกมออก (ที่เยอะใช่ย่อย😂) ก็ต้องบอกว่าตัวอย่างที่ทาง Gearbox เผยนั้นยกระดับให้ตัวเกมดูอาร์ตขึ้นเยอะเลย
- มันมาทรงนี้จริงๆ เพราะแค่ปกเกมก็อย่างเท่แล้ว แถมถ้าใครซื้อแผ่นก็จะทราบว่าตัวปกทำเป็นสีเรืองแสงๆ เหมือนพวกการ์ดฟอยล์ด้วย สุดจะงาม
- จะไม่พูดถึงไม่ได้คือ Intro เปิดเกม ที่กระตุกความ hype แรงๆ ให้หายคิดถึง คือขึ้นมาเจอมาร์คัสเล่าเรื่องก็น้ำตาซึมแล้ว ทั้งยังช็อต Signature ระหว่างเจ้า Skag กับแก๊ง Bandit ก็ยังมีให้เห็น
- เป็นการเปิดเกมที่สนุกมากอย่างที่ทุกคนจะต้องชอบไม่ใช่แค่แฟน Borderlands เท่านั้น. เรายิ้มไม่หยุดเลย แค่นี้ก็มีความสุขแล้วจริงๆ
- ภาพรวมอาจจะไม่ได้พีคมากอย่างที่ Pre-Sequel ทำเอาไว้ ที่พาเราทะยานขึ้นอวกาศกันมันส์ๆ แต่เริ่ม อันนี้ก็จะเป็นอีกฟีลนึง แต่แน่นอนว่าเพลงเปิดก็ยังคงเลือกมาได้ฉลาดมากเช่นเดิมอยู่ดี ฟังเพลินๆ โยกตามอย่างสนุกๆ
- First Impression หลังจากเริ่มบังคับตัวละครได้ ก็คือ Performance โคตรเลวร้าย
- สำหรับแพลตฟอร์ม PS4 คือกระตุกแบบถ้าเล่นต่อมีหวังมึนตาย (ขนาดเครื่องโปร) ตรงนี้ต้องไปปรับใน Option ให้เลือกจะเน้น Performance มากกว่า Resolution ก็จะกลับมาลื่นปกติ แต่ก็งงเหมือนกันว่าถ้ามันกระตุกขนาดนี้ก็ควรจะปรับ Prefer Performance เป็นค่าตั้งต้นแล้วรึเปล่า?
- ทั้งนี้สำหรับ XBOX ไม่รู้ว่าเจอแบบนี้ไหม ส่วน PC ก็คงไม่น่าเป็นปัญหา เพราะเราต้องปรับให้รู้สึกว่าลื่นก่อนเล่นอยู่แล้ว
- การพูดโต้ตอบของตัวละครเรากับ NPC ก็ยังรู้สึกว่าไม่มีชีวิตชีวาเท่าไหร่ เพราะมันเว้นจังหวะแบบดูออกว่าไม่ไหลลื่น แถมในคัทซีนเราก็ยังเป็นใบ้อยู่ดี
- Unreal Engine 4 สุดยอด ฟิสิกส์ในเกมพัฒนาขึ้นไปเยอะมาก เหยียบต้นไม้ใบหญ้าก็มีล้มตาม แสงเงาตกกระทบนี่จัดเต็ม แถม Texture ก็มีการเปลี่ยนด้วย อาทิกำแพงผนัง ที่เวลาโดนยิงก็จะมีแตกกระจุยออกมาเป็นชิ้นๆ
- ภาพงามขึ้น เลยแอบรู้สึกว่ามันดูสมจริงไม่สมกับคำว่า Unreal เหมือนกัน จะค่อนข้างคล้ายกับหลายๆ เกมในยุคนี้ จนเฉยๆ กับอาร์ตสไตล์แบบนี้แล้ว ขึ้นอยู่กับมุมมองจริงๆ ว่าชอบมั้ยที่ภาพมันพัฒนามาในทางนี้ การมีเส้นคล้ายการ์ตูนมันกลายเป็นกรอบสำคัญที่ทำให้กราฟิคกระโดดไปมากกว่านี้ไม่ค่อยจะได้ แต่เอาเถอะ ส่วนตัวมองว่าพัฒนาเรื่องไลต์ติ้งให้ดูดีมาได้ขนาดนี้ก็พอใจแล้ว
- UI ทันสมัยขึ้นในแบบของ Borderlands. ภาพลักษณ์เวลายิงแล้วเห็นหลอดเลือดค่อยๆ ลด ตัวเลขวิ่งกระจุยอะไรงี้ดูสมูทขึ้น เลยพลอยรู้สึกว่ายิงสนุกขึ้นด้วย
- ล้อนู่นนี่มีให้เห็นเต็มไปหมด มุกเลวๆ มุกเล่นคำ มุกตลกร้ายก็ยังเยอะเหมือนเดิม เล่นทิ้งเล่นขว้าง ยิง 10 ฮาสัก 2 ตามฟอร์มของซีรียส์นี้ บางมุกก็ไม่รู้ว่าจะต้องรู้สึกยังไงกับแม่งดี
- Map กลายเป็นสามมิติให้ซูมๆ หมุนๆ ดูได้ ลดความปวดหัวระหว่างทำเควสลงเยอะมาก ช่วยมากจริงๆ เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ตอบโจทย์สุด
- เพิ่มการปีนป่ายเข้ามา ทำให้เคลื่อนที่ผ่านสิ่งกีดขวางอิสระขึ้น เป็นลูกเล่นที่ถูกเอามาต่อยอดเยอะมากในเกม เรียกว่าใช้คุ้ม
- ส่วนปืนนี่ไม่ต้องห่วง มีของเล่นใหม่เยอะมากกกก เลือกใช้กันเพลิน แต่ละยี่ห้อก็บาลานซ์กันดีกว่าเมื่อก่อนด้วย
- มีบั๊กให้เห็นค่อนข้างมากทีเดียว ทั้งแสดงเควสผิด, ขึ้นคนพูดผิดรูป, ฟีเจอร์ไม่ปลดล็อค กด Fast Travel ไม่ได้ ต้องเข้า Option ไปรีเซ็ต Tutorial ใหม่ (เรื่องร้ายแรงนะเฮ้ย) รวมถึงเควสบั๊กก็มีให้เห็นเยอะ แต่เท่าที่เจอทั้งหมดแก้ได้ด้วยการออกเกมแล้วกลับเข้ามาใหม่
- บางทีก็รุนแรงถึงขนาดเกม crash ไปเลย
- ซับไตเติ้ลยังขึ้นไม่ค่อยตรงกับเสียงที่พูดจริงๆ อันนี้เป็นปัญหาที่เจอมาตั้งแต่ภาค 2 / Pre แล้ว และเหมือนจะเป็นแค่คอนโซล เพราะตอนเล่น PC (ภาคเดียวกัน) ไม่ยักเจอ บางจังหวะจะถึงขนาดว่าพูดประโยคยาวๆ ไปสัก 2-3 วิ แล้วถึงจะสลับเอาส่วนที่แสดงไม่หมดขึ้นมาให้อ่านต่อ แต่พอพูดจบก็จะหายไปเลย กลายเป็นว่าอ่านประโยคหลังๆ ไม่ทันงี้
- บางครั้งถ้าเรากำลังกดหรือทำอะไรอย่างอื่นอยู่ระหว่างตัวละครพูด ซับก็จะไม่แสดงเลยด้วยซ้ำ กลายเป็นว่าต้องฟังๆ จับใจความเอาเอง
- ยังคงเป็นเควสในเควสในเควสเหมือนเดิม คือถ้ารับมันทุกเควสที่ขวางหน้านี่ พอจบอันนึงไปต่ออันนึงก็ถือว่ามึนอยู่เหมือนกัน
- แต่ทุกเควสภาคนี้ถือว่าดีไซน์มาดี ไร้สาระก็ไร้สาระให้สุด เรารู้สึกว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเรื่องหลักขึ้นเยอะ
- ตัวละครภาคนี้มีสเน่ห์น่าสนใจทั้งที่มาใหม่และหน้าเก่าๆ เลย รู้สึกว่ามันเป็นจุดบรรจบจากภาคก่อนๆ ที่ลงตัวมาก ทุกคนดูอยู่ถูกที่ถูกทาง และเกี่ยวข้องกันเหมาะเจาะ ที่สำคัญหลายคนก็เปลี่ยนลุคไปแล้วดูดีขึ้น
- ถ้าถามว่า โลกที่ไม่มีแจ๊คจะยังสนุกอยู่อีกเหรอ? ก็ต้องบอกเลยว่าสนุก มันมูฟออนเลยจุดนั้นไปไกลแล้ว
- (สปอยล์นิดหน่อย) คือดีใจ+ตกใจมาก ที่ได้เห็นการกลับมาของ Rhys (พระเอกของ Tales) อารมณ์แบบเฮ้ยจะได้เห็นความเป็นไปของตัวละครนี้ต่อ แต่พอได้เจอจริงๆ ถึงรู้ว่าเสียงพากย์มันไม่ใช่ Troy Baker นี่หว่าาา ก็เลยกลับไปตามๆ ข่าวแล้วถึงรู้ว่ามีดราม่าเกี่ยวกับการเปลี่ยนนักพากย์ของ Rhys อยู่ ก็ถือว่าน่าเสียดาย และมันทำให้รู้เลยว่าเสียงพากย์นี่มีผลต่อภาพลักษณ์ของตัวละครจริงๆ แฮะ รู้สึกเหมือน Rhys กลายเป็นคนละคนไป แต่เอาเถอะ ฟินๆ หายคิดถึง รู้สึกว่าทีมงานใส่ใจกับการนำเอา Tales มาเชื่อมกับจักรวาลหลักมากๆ
- สำหรับใครเสียดายความเวิ้งๆ ตะลุยอวกาศแบบภาค Pre-Sequel ก็หายห่วงได้ว่าภาค 3 ยังคงมีกลิ่นอายแบบนั้นอยู่ แถมสภาพแวดล้อมโลเกชั่นนี่หลากหลายขึ้นเยอะจริงๆ เรียกว่าเสพทิวทัศน์กันจนงามตา
- เนื้อเรื่องขยายสเกลขึ้นใหญ่โตมาก และน่าจะสนุกจุใจสมกับที่รอไม่มากก็น้อย
- แต่ละแบรนด์ที่ผลิตปืนเข้ามามีบทบาทกับเรื่องมากขึ้น ให้เห็นว่าจักรวาลนี้มันมีที่มาที่ไปหมด อยากรู้หน้าค่าตาของเจ้าของแบรนด์อื่นๆ นอกเหนือจาก Hyperion. ก็จะได้เห็น
- แก๊ง Bandit ที่เรียกว่าเป็นจุดขายของภาคมีการปรับเปลี่ยนไปนิดหน่อย เก่าไปใหม่มา เปลี่ยนจาก Midget (คนแคระตัวเล็กๆ เสียงกวนๆ) เป็น Tink แทน พาร์ทนี้ถือว่าเป็นสีสันของเกมที่ขาดไม่ได้ คือวันไหนเครียดๆ ได้กลับมาสาดกระสุนใส่เจ้าพวกนี้ก็ระบายอารมณ์ไปอีกแบบ
- เพลงที่ Insert เข้ามาในเกมคือที่สุด ทั้งระหว่างสู้บอสที่มันมากจนต้องโยกตาม หรือบาง Chapter ที่เปิดเพลงโคตรโดน ช่วยเติมรสชาติให้เล่นสนุกขึ้นมากจริงๆ (Chapter ที่ว่านี่น่าจะสนุกที่สุดตั้งแต่เล่น Borderlands มา)
- จากที่เห็นในตัวอย่างเราจะได้เห็นเมืองเท่ๆ ล้ำๆ ให้ฟีล Cyberpunk เบาๆ อันนี้ก็เป็นจุดที่สอบผ่านของเกม และใส่สีสันแสงนีออนเข้ามาเยอะดูงามตาไปหมด คือได้เสพบรรยากาศจนอิ่ม เป็นอีกมิติของเกมที่แปลกใหม่แต่ถูกใจมาก
โดยรวมแล้ว Borderlands 3 ถือเป็นการรียูเนี่ยนของตัวละครที่หายคิดถึงเป็นปลิดทิ้ง ยังคงเป็นเกม Shooter Looter บู๊แหลกแจกกระสุน ที่แม้จะตกยุคไปสักหน่อยสำหรับปี 2019 แต่ก็ต้องบอกว่ามันคือสูตรที่เคยประสบความสำเร็จมาแล้ว และ Gearbox ก็ยังมั่นคงกับมันต่อ แค่นั้นก็น่าพอใจยิ่ง สำหรับความเป็นภาคต่อที่อย่างน้อย พวกเขาก็ทำส่วนที่ดีให้ยังคงดีอยู่
ในจุดของความที่เป็นภาค 3 จึงต้องเรียนด้วยเช่นกันว่า ถึงเนื้อเรื่องจะไม่ซับซ้อน แต่มันก็เล่าไปอีกสเกลหนึ่งแล้ว ดังนั้นถ้าเพิ่งมาเล่นใหม่ภาคนี้ก็จะรับไปได้แค่ส่วนของความสนุกเท่านั้น ถ้าจะเอาให้อินกับเนื้อเรื่องด้วย อาจจะต้องย้อนกลับไปเล่นอย่างน้อยก็ 2 เกม คือ Borderlands 2 (รวม DLC สุดท้าย) และ Tales From the Borderlands
2019
(ของเก่าจากเพจ Juke With Me - รีวิวหลังเกมออกไม่นาน)
- ก่อนอื่น มีบางท่านอาจจะสงสัยว่า ทำไมเกมนี้ถึงมักถูกเรียกว่าเป็น Dark Souls ในเวอร์ชั่นอนิเมะ มันเหมือนขนาดนั้นเลยหรือยังไง
- ก็ต้องบอกว่า Code Vein ไม่ได้ถูกพัฒนาโดย FromSoftware แต่มีผู้จัดจำหน่ายเดียวกัน คือ Bandai Namco ซึ่งมาพัฒนาเกมภายใต้สตูดิโอในชื่อเดียวกันอย่าง Bandai Namco Studios ร่วมกับ Shift เกิดเป็นเกมนี้อีกทีหนึ่ง จะ Relate กันแค่ประมาณนี้ เป็นลักษณะของการได้รับแรงบันดาลใจ (อย่างมาก) มาจาก Souls Series เท่านั้น
📌
- เกมนี้มีฉากหลังเป็นโลกหลังการล่มสลาย (Post-apocalyptic dystopian) สภาพแวดล้อมที่นำเสนอออกมาจึงเน้นไปที่ซากปรักหักพัง และความเสื่อมโทรมเป็นหลัก
- ดีไซน์ตัวละครและอาวุธนั้นได้อิทธิพลมาจาก God Eater สูงมาก ก็เพราะได้ทีมงานเดิมมาไม่ว่าจะโปรดิวเซอร์อย่างคุณเคย์ตะ อิซุกะ หรือผู้กำกับ ฮิโรชิ โยชิมุระก็ตาม เรียกว่าหายห่วงเรื่องความเท่ เบียวกันให้สุดไปเลย
- จุดขายที่สำคัญจุดหนึ่งคือการสร้างตัวละคร ที่ให้อิสระค่อนข้างมาก เพลินสุดๆ กินเวลาไปหลักชั่วโมงเหมือนกันกว่าจะพอใจแล้วเริ่มเล่นจริงๆ สักที5
- คือ Template ที่เกมปรับมาให้ก็หล่อเท่สวยน่ารักอยู่แล้ว จะปรับเพิ่มเติมยังไงก็ออกมาดูดี และ Part ของเครื่องประดับ ก็สามารถหมุนๆ ย่อขยายไปอยู่จุดที่ต้องการได้ เปิดโอกาสให้พอจะปรับๆ จนเหมือนกับตัวละครจากเกม/อนิเมะที่ชื่นชอบได้ สุดแล้วแต่ความสร้างสรรค์และพยายาม
- การสร้างตัวละครครั้งแรกสำคัญมาก ควรตั้งใจให้ออกมาเป็นที่พอใจกับเราจริงๆ เพราะจะมีจุดสวยๆ ให้ถ่ายรูปเยอะ มีท่าโพสต์ดีย์ๆ เต็มไปหมด รวมถึงในคัทซีนเองเราก็มีส่วนร่วมด้วยเยอะมาก หลากหลายสีหน้าท่าทาง เรียกว่าใช้คุ้มจนเกินคุ้มเลย (สามารถไปปรับเปลี่ยนในเกมได้ทีหลัง แต่ไม่ละเอียดเท่าครั้งแรก)
📌
- ในส่วนของอนิเมชันท่าทางการต่อสู้ ค่อนข้างจะหงุดหงิดกับความลอยๆ ของมันที่ไม่เข้ากับสภาพแวดล้อม จะท่าวิ่งที่แปลกๆ ก็ดี หรือศัตรูตัวใหญ่ๆ แต่มีท่วงท่าการเคลื่อนไหวแบบแหกฟิสิกส์ ก็ต้องยอมรับว่าเป็นสิ่งปกติที่เจอบ่อยกับเกม JRPG ยิ่งด้วยความที่ใช้ Unreal Engine ในการพัฒนาด้วยแล้ว การจะบาลานซ์ความสมจริงลื่นไหล กับกราฟิคสไตล์การ์ตูนเข้าด้วยกันเช่นนี้ถือเป็นโจทย์ที่ยากมาก เพราะไม่ใช่ทุกเกมที่ใช้ Unreal Engine แล้ว Movement จะออกมารับกับอาร์ตสไตล์ได้ลงตัวแบบ Borderlands ไปซะหมด
- มีระบบ Blood Code ที่เปรียบเสมือนอาชีพของผู้เล่น ที่สามารถเลือกเปลี่ยนให้เหมาะกับสถานการณ์ได้ตลอดเวลา สกิลส่วนใหญ่ของแต่ละ Code สามารถนำไปใช้ร่วมกับ Code อื่นได้ ทำให้สามารถผสมกันออกมาเป็น Build การเล่นที่ถือว่าหลากหลายทีเดียว
- และเกมนี้อัพเลเวลแบบ Fix ค่าสเตตัส ดังนั้นจึงหมดห่วงว่าจะเล่น Build ไหนไม่ได้ เพราะสเตตัสจะไปขึ้นอยู่กับว่าคุณใช้ Code ไหน และมี Passive อะไรข่วยบ้างแทน
- ส่วนอาวุธนั้นเท่าที่ใช้ดูยังไม่ค่อยประทับใจกับความสมดุลเท่าไหร่ รู้สึกว่าถ้าไม่ได้บวกกับบอสแล้ว, บรรดาอาวุธหนักสองมือก็ยังเป็นใหญ่ได้เปรียบอยู่ดี ทั้งเรื่องความแรง การป้องกัน และทำให้ชะงักได้
- Level Design ของเกมนี้ดูขาดๆ เกินๆ บางแมพเราชอบเพราะวางจุดต่างๆ ได้ดี มีการเปิดทางลัดถึงกันช่วยประหยัดจุดเซฟ หรือมีพื้นที่ลับที่ถ้าไม่สังเกตดีๆ ก็จะพลาดสิ่งสำคัญไป แต่บางแมพก็วกวนซับซ้อนแบบไม่ใช่เรื่อง คือมีแต่กลไกซ้ำๆ อย่างคันโยก (Lever) กับประตูมาเยอะเกินน แถมสภาพแวดล้อมอาคารทางเดินก็วิวเดิมหมด ไม่ได้มีอะไรใหม่ๆ ให้เจริญตาเลย
- ไอ้มุกคันโยกนี่ใช้ฟุ่มเฟือยมาก บางทีก็วางตำแหน่งไว้ไม่ค่อยฉลาด หนักสุดคือการเอากลไกของกุญแจ มาใช้ด้วย วะวะว่าไงนะะ ถ้าไม่มีกุญแจก็จะโยกเปิดประตูไม่ได้ ทั้งๆ ที่ก็เห็นมันตั้งอยู่ตำตาแบบนั้น
- พวก Object อย่างกล่องไม้ ลิฟต์ หรืออุปกรณ์ประกอบฉากต่างๆ ก็ถูกเอามารียูสรัวๆ ไม่ได้เปลี่ยนใหม่ให้เข้ากับสถานที่ใหม่ๆ เล้ย บางทีก็รู้สึกว่าโลเคชั่นนั้นๆ มันถูกจัดวางไว้ไม่ค่อยจะเมคเซ้นส์
- สิ่งที่ช่วยชีวิตเราให้ไม่หงุดหงิดกับแมพมากนักก็คือ Interface ของแผนที่นี่แหละ ที่จะมีจุดๆ เป็นรอยเท้าบอกว่าเราเคยเดินผ่านตรงไหนมาแล้วบ้าง อันนี้ช่วยเยอะมากสำหรับสายสำรวจเก็บครบทุกจุด รวมไปถึงมีกลไกการเปิดแมพเป็น % ให้รู้ด้วยว่าพื้นที่นั้นๆ Complete ไปแล้วหรือยัง
- นอกเหนือจากแมพแล้ว UI ในส่วนอื่นๆ ก็ถูกออกแบบมาให้ใช้ง่ายแบบง่ายสุดๆ ถ้าจะมีส่วนไหนที่ดูใช้ลำบากก็คือจงใจแหละ
- จุดเด่นอีกอย่างคือระบบ Partner ที่เราสามารถเลือกตัวละครในเรื่องมาจับคู่ลุยไปด้วยกันได้ แต่ละคนก็จะมีสไตล์การเล่นตาม Blood Code ของตัวเอง ซึ่งถ้าเลือกดีๆ เขาเหล่านั้นก็จะทดแทนในสิ่งที่ Build เราไม่มีได้ ที่สำคัญคือเก่งแบบเก่งเลยด้วย ช่วยเหลือได้เยอะมากๆ
📌
- Boss Fight ของเกมนี้ไม่น่าประทับใจเท่าไหร่ ความยากของบอสจะมาจากความรุนแรงเป็นหลัก ส่วน Moveset นี่เดาออกง่าย และไม่ได้หลากหลายนัก เจอครั้งแรกคุณสามารถจับทางและเทคเดียวผ่านได้ไม่ยากเลย ถ้าหากรู้กลไก mechanic ของเกมมาดีพอแล้ว
- ไม่ได้ถึงกับต้องพลิกแพลงอะไรมาก หรือมีกลยุทธ์ที่ 1 2 3 ให้เลือกใช้นัก เพื่อรับมือกับบอสแต่ละตัว
- ดีไซน์ของบอสนั้นจะเข้ากับ theme เกม แต่อาจไม่ถูกใจคนชอบบอสเท่ๆ นัก คือบอสจะเน้นความเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องสูงมาก มากจริงๆ คือไม่ได้เจอรอบเดียวแล้วจบๆ กันไป ชื่นชมว่าคิดส่วนนี้มาดี ที่ยกให้บอสแต่ละตัวดูมีความสำคัญ
📌
- ที่ว่ามาหมดนี้เป็น Part ของ Gameplay ซึ่งก็ดีบ้างร้ายบ้าง แต่ที่น่าสนใจจริงๆ นั้น กลับเป็นส่วนของการเล่าเรื่อง
- ระบบ Vestige ของเกมนี้จะเป็นการรวมรวบเอาชิ้นส่วนของความทรงจำแต่ละคนกลับมาเพื่อฟื้นฟูให้แก่เจ้าตัว ซึ่งก็จะทำให้ค่อยๆ ปะติดปะต่อความเป็นมาของเรื่องราวได้มากยิ่งขึ้น
- ผู้เล่นต้องไปเก็บ Vestige มาเพื่อดูเนื้อเรื่อง แลกกันกับความแข็งแกร่ง (สกิล) ที่มากขึ้น ก็ดูเป็นลูกล่อที่ดีให้ได้เสพเนื้อเรื่องกัน
- ฉากความทรงจำนั้นจะเป็นอาร์ตสไตล์แบบหุ่นปั้น ซึ่งถูกดีไซน์ออกมาแตกต่างกันไปแล้วแต่คนแต่สถานที่ ชอบมากเพราะมันไม่ซ้ำจำเจ ชวนให้เราตามดูจนจบแบบไม่อยากกด Skip เลย (เป็นข้ออ้างได้ใช่มะว่าเล่นนานกว่าจะจบ😂) มีการ Transition วัตถุไปมา แถมดนตรีก็เพราะฟังเพลินๆ อีก เสียดายว่าเพลงเดียวใช้มันแทบจะทุก Vestige. ฟังมากๆ ก็แอบเบื่ออยู่บ้าง
- การปะติดปะต่อเนื้อเรื่องผ่าน Vestige นั้น สามารถเชื่อมการเดินทางของตัวละครหนึ่ง มาบรรจบกับตัวละครหนึ่งได้ ระหว่างนี้เราก็จะพอมีภาพในหัว หรือลำดับ Timeline ได้ละ และสักพักก็จะเข้าใจสถานการณ์ในอดีตได้เอง โดยไม่ต้องให้เกมมันเล่าป้อนมาตรงๆ
- นึกสภาพว่าเหตุการณ์ในเกมนั้นเป็นปัจจุบัน เป็นแค่ไม่กี่ % ของเรื่องราวทั้งหมดที่เลือกมาเล่า การที่ได้เห็นภาพอดีตชัดเจนแบบนี้ จึงช่วยลดระยะห่างของตัวละครหน้าเก่าๆ ที่เค้ารู้จักกันมาก่อนอยู่แล้ว แต่เพิ่งมารู้จักกับเราไม่นานลงไป
- ในเกมจะมีออนเซ็นให้แช่ด้วย แต่ไม่ใช่แค่เอาขำๆ เพราะระหว่างแช่ก็จะมีให้เรากดเหมือนย้อนดูเหตุการณ์ที่ผ่านๆ มา ช่วยสรุปเนื้อเรื่องให้เราอีกทีหนึ่ง ส่วนนี้แสดงให้เห็นว่าทีมงานใส่ใจกับการเล่าเนื้อเรื่องมากจริงๆ
- ด้วยความที่อนิเมชั่นของเกมนี้มันแข็งๆ เวลาเป็นคัทซีนแล้วก็จะออกมาแปลกๆ น่าขัดใจ ทั้งท่าทางที่เกินจริงดูจูนิเบียวมากกก หรือบทพูดที่แบบพิรี้พิไรรอท่ากัน ยืนซึ่งๆ หน้าก็ไม่บวกสักทีรอให้พูดจบ หรือการเว้นช่องระหว่างคนถาม-คนตอบ ที่ดูนานไม่เป็นธรรมชาติแบบคนพูดจริงๆ คือเรียกว่าเป็นคัทซีนตามฉบับ JRPG มากๆ กี่ทีก็ไม่ชิน😅
- บทพูดค่อนข้างพังผิดกันกับตอนเล่าเรื่องในความทรงจำเลย อันนี้อยู่ที่ความชอบแล้วว่าใครจะโอเคกันมากน้อยแค่ไหน
- ทั้งนี้แล้วก็รู้สึกว่าเกมเพลย์มันถูกขับเคลื่อนไปด้วยเนื้อเรื่องพร้อมๆ กันไม่ทิ้งกันไปไหน ทุกอย่างมันมีผลกระทบถึงกัน แน่นอนว่าการดีไซน์ฉากจบก็ด้วย ก็สัมพันธ์กับกฏธรรมชาติของเรื่องมาก
- Game Progress Route ไม่แน่ใจ แต่เท่าที่ดูมันน่าจะมีลำดับการเล่นแค่วิธีเดียวนะ คือไม่ว่าจะมีทางแยกเยอะยังไง สุดท้ายเราก็จะต้องไปทางที่ถูกต้องทางเดียว
📌
- ตลกร้ายของ Code Vein คือเรารู้ลูกไม้ของเกม แนวทางการเล่น วิธีเล่นให้คุ้มที่สุดหมดแล้ว แต่มันเพราะว่าเราชินมาจาก Dark Souls ต่างหาก คือหยุดเอาไปเปรียบเทียบไม่ได้เลย ขนาด Sekiro ที่เป็นเกมจากค่าย FromSoft แท้ๆ รูปแบบการเล่นยังหนีโซลส์ออกไปได้มากกว่าเกมนี้
- ต้องยอมรับว่า การมีสามัญสำนึกในการเล่นแบบ Dark Souls ช่วยให้เกมง่ายขึ้นจริงๆ
- แถมมันคล้ายกันมากกระทั่ง Concept ของเนื้อเรื่องด้วยซ้ำ
- ถ้าถามว่าแล้วมันเหลืออะไรที่ดีงามผุดผ่องจริงๆ อยู่บ้าง ก็คงเป็นการสร้างตัวละคร กับ Ufotable ที่ทำอนิเมชั่นเปิดเกมนี้ด้วย
📌
- รวมๆ แล้ว. ก็ถือว่าเป็นอีกเรื่องราวหนึ่งที่นำเสนอความงดงาม เปรียบกับความสัมพันธ์ของผู้คน เบ่งบานออกมาเผชิญหน้ากับโลกอันโหดร้ายได้อย่างลงตัว แม้จะขาดรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ไปบ้าง
- ไม่ถึงขนาดจะหลงรักเกมนี้แบบหัวปักหัวปำ แต่เราเลือกจะมองข้ามข้อเสียไป และเล่นมันให้สนุกได้อยู่
- และทั้งหมดนั้นก็คือ Code Vein
- ก่อนอื่น มีบางท่านอาจจะสงสัยว่า ทำไมเกมนี้ถึงมักถูกเรียกว่าเป็น Dark Souls ในเวอร์ชั่นอนิเมะ มันเหมือนขนาดนั้นเลยหรือยังไง
- ก็ต้องบอกว่า Code Vein ไม่ได้ถูกพัฒนาโดย FromSoftware แต่มีผู้จัดจำหน่ายเดียวกัน คือ Bandai Namco ซึ่งมาพัฒนาเกมภายใต้สตูดิโอในชื่อเดียวกันอย่าง Bandai Namco Studios ร่วมกับ Shift เกิดเป็นเกมนี้อีกทีหนึ่ง จะ Relate กันแค่ประมาณนี้ เป็นลักษณะของการได้รับแรงบันดาลใจ (อย่างมาก) มาจาก Souls Series เท่านั้น
📌
- เกมนี้มีฉากหลังเป็นโลกหลังการล่มสลาย (Post-apocalyptic dystopian) สภาพแวดล้อมที่นำเสนอออกมาจึงเน้นไปที่ซากปรักหักพัง และความเสื่อมโทรมเป็นหลัก
- ดีไซน์ตัวละครและอาวุธนั้นได้อิทธิพลมาจาก God Eater สูงมาก ก็เพราะได้ทีมงานเดิมมาไม่ว่าจะโปรดิวเซอร์อย่างคุณเคย์ตะ อิซุกะ หรือผู้กำกับ ฮิโรชิ โยชิมุระก็ตาม เรียกว่าหายห่วงเรื่องความเท่ เบียวกันให้สุดไปเลย
- จุดขายที่สำคัญจุดหนึ่งคือการสร้างตัวละคร ที่ให้อิสระค่อนข้างมาก เพลินสุดๆ กินเวลาไปหลักชั่วโมงเหมือนกันกว่าจะพอใจแล้วเริ่มเล่นจริงๆ สักที5
- คือ Template ที่เกมปรับมาให้ก็หล่อเท่สวยน่ารักอยู่แล้ว จะปรับเพิ่มเติมยังไงก็ออกมาดูดี และ Part ของเครื่องประดับ ก็สามารถหมุนๆ ย่อขยายไปอยู่จุดที่ต้องการได้ เปิดโอกาสให้พอจะปรับๆ จนเหมือนกับตัวละครจากเกม/อนิเมะที่ชื่นชอบได้ สุดแล้วแต่ความสร้างสรรค์และพยายาม
- การสร้างตัวละครครั้งแรกสำคัญมาก ควรตั้งใจให้ออกมาเป็นที่พอใจกับเราจริงๆ เพราะจะมีจุดสวยๆ ให้ถ่ายรูปเยอะ มีท่าโพสต์ดีย์ๆ เต็มไปหมด รวมถึงในคัทซีนเองเราก็มีส่วนร่วมด้วยเยอะมาก หลากหลายสีหน้าท่าทาง เรียกว่าใช้คุ้มจนเกินคุ้มเลย (สามารถไปปรับเปลี่ยนในเกมได้ทีหลัง แต่ไม่ละเอียดเท่าครั้งแรก)
📌
- ในส่วนของอนิเมชันท่าทางการต่อสู้ ค่อนข้างจะหงุดหงิดกับความลอยๆ ของมันที่ไม่เข้ากับสภาพแวดล้อม จะท่าวิ่งที่แปลกๆ ก็ดี หรือศัตรูตัวใหญ่ๆ แต่มีท่วงท่าการเคลื่อนไหวแบบแหกฟิสิกส์ ก็ต้องยอมรับว่าเป็นสิ่งปกติที่เจอบ่อยกับเกม JRPG ยิ่งด้วยความที่ใช้ Unreal Engine ในการพัฒนาด้วยแล้ว การจะบาลานซ์ความสมจริงลื่นไหล กับกราฟิคสไตล์การ์ตูนเข้าด้วยกันเช่นนี้ถือเป็นโจทย์ที่ยากมาก เพราะไม่ใช่ทุกเกมที่ใช้ Unreal Engine แล้ว Movement จะออกมารับกับอาร์ตสไตล์ได้ลงตัวแบบ Borderlands ไปซะหมด
- มีระบบ Blood Code ที่เปรียบเสมือนอาชีพของผู้เล่น ที่สามารถเลือกเปลี่ยนให้เหมาะกับสถานการณ์ได้ตลอดเวลา สกิลส่วนใหญ่ของแต่ละ Code สามารถนำไปใช้ร่วมกับ Code อื่นได้ ทำให้สามารถผสมกันออกมาเป็น Build การเล่นที่ถือว่าหลากหลายทีเดียว
- และเกมนี้อัพเลเวลแบบ Fix ค่าสเตตัส ดังนั้นจึงหมดห่วงว่าจะเล่น Build ไหนไม่ได้ เพราะสเตตัสจะไปขึ้นอยู่กับว่าคุณใช้ Code ไหน และมี Passive อะไรข่วยบ้างแทน
- ส่วนอาวุธนั้นเท่าที่ใช้ดูยังไม่ค่อยประทับใจกับความสมดุลเท่าไหร่ รู้สึกว่าถ้าไม่ได้บวกกับบอสแล้ว, บรรดาอาวุธหนักสองมือก็ยังเป็นใหญ่ได้เปรียบอยู่ดี ทั้งเรื่องความแรง การป้องกัน และทำให้ชะงักได้
- Level Design ของเกมนี้ดูขาดๆ เกินๆ บางแมพเราชอบเพราะวางจุดต่างๆ ได้ดี มีการเปิดทางลัดถึงกันช่วยประหยัดจุดเซฟ หรือมีพื้นที่ลับที่ถ้าไม่สังเกตดีๆ ก็จะพลาดสิ่งสำคัญไป แต่บางแมพก็วกวนซับซ้อนแบบไม่ใช่เรื่อง คือมีแต่กลไกซ้ำๆ อย่างคันโยก (Lever) กับประตูมาเยอะเกินน แถมสภาพแวดล้อมอาคารทางเดินก็วิวเดิมหมด ไม่ได้มีอะไรใหม่ๆ ให้เจริญตาเลย
- ไอ้มุกคันโยกนี่ใช้ฟุ่มเฟือยมาก บางทีก็วางตำแหน่งไว้ไม่ค่อยฉลาด หนักสุดคือการเอากลไกของกุญแจ มาใช้ด้วย วะวะว่าไงนะะ ถ้าไม่มีกุญแจก็จะโยกเปิดประตูไม่ได้ ทั้งๆ ที่ก็เห็นมันตั้งอยู่ตำตาแบบนั้น
- พวก Object อย่างกล่องไม้ ลิฟต์ หรืออุปกรณ์ประกอบฉากต่างๆ ก็ถูกเอามารียูสรัวๆ ไม่ได้เปลี่ยนใหม่ให้เข้ากับสถานที่ใหม่ๆ เล้ย บางทีก็รู้สึกว่าโลเคชั่นนั้นๆ มันถูกจัดวางไว้ไม่ค่อยจะเมคเซ้นส์
- สิ่งที่ช่วยชีวิตเราให้ไม่หงุดหงิดกับแมพมากนักก็คือ Interface ของแผนที่นี่แหละ ที่จะมีจุดๆ เป็นรอยเท้าบอกว่าเราเคยเดินผ่านตรงไหนมาแล้วบ้าง อันนี้ช่วยเยอะมากสำหรับสายสำรวจเก็บครบทุกจุด รวมไปถึงมีกลไกการเปิดแมพเป็น % ให้รู้ด้วยว่าพื้นที่นั้นๆ Complete ไปแล้วหรือยัง
- นอกเหนือจากแมพแล้ว UI ในส่วนอื่นๆ ก็ถูกออกแบบมาให้ใช้ง่ายแบบง่ายสุดๆ ถ้าจะมีส่วนไหนที่ดูใช้ลำบากก็คือจงใจแหละ
- จุดเด่นอีกอย่างคือระบบ Partner ที่เราสามารถเลือกตัวละครในเรื่องมาจับคู่ลุยไปด้วยกันได้ แต่ละคนก็จะมีสไตล์การเล่นตาม Blood Code ของตัวเอง ซึ่งถ้าเลือกดีๆ เขาเหล่านั้นก็จะทดแทนในสิ่งที่ Build เราไม่มีได้ ที่สำคัญคือเก่งแบบเก่งเลยด้วย ช่วยเหลือได้เยอะมากๆ
📌
- Boss Fight ของเกมนี้ไม่น่าประทับใจเท่าไหร่ ความยากของบอสจะมาจากความรุนแรงเป็นหลัก ส่วน Moveset นี่เดาออกง่าย และไม่ได้หลากหลายนัก เจอครั้งแรกคุณสามารถจับทางและเทคเดียวผ่านได้ไม่ยากเลย ถ้าหากรู้กลไก mechanic ของเกมมาดีพอแล้ว
- ไม่ได้ถึงกับต้องพลิกแพลงอะไรมาก หรือมีกลยุทธ์ที่ 1 2 3 ให้เลือกใช้นัก เพื่อรับมือกับบอสแต่ละตัว
- ดีไซน์ของบอสนั้นจะเข้ากับ theme เกม แต่อาจไม่ถูกใจคนชอบบอสเท่ๆ นัก คือบอสจะเน้นความเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องสูงมาก มากจริงๆ คือไม่ได้เจอรอบเดียวแล้วจบๆ กันไป ชื่นชมว่าคิดส่วนนี้มาดี ที่ยกให้บอสแต่ละตัวดูมีความสำคัญ
📌
- ที่ว่ามาหมดนี้เป็น Part ของ Gameplay ซึ่งก็ดีบ้างร้ายบ้าง แต่ที่น่าสนใจจริงๆ นั้น กลับเป็นส่วนของการเล่าเรื่อง
- ระบบ Vestige ของเกมนี้จะเป็นการรวมรวบเอาชิ้นส่วนของความทรงจำแต่ละคนกลับมาเพื่อฟื้นฟูให้แก่เจ้าตัว ซึ่งก็จะทำให้ค่อยๆ ปะติดปะต่อความเป็นมาของเรื่องราวได้มากยิ่งขึ้น
- ผู้เล่นต้องไปเก็บ Vestige มาเพื่อดูเนื้อเรื่อง แลกกันกับความแข็งแกร่ง (สกิล) ที่มากขึ้น ก็ดูเป็นลูกล่อที่ดีให้ได้เสพเนื้อเรื่องกัน
- ฉากความทรงจำนั้นจะเป็นอาร์ตสไตล์แบบหุ่นปั้น ซึ่งถูกดีไซน์ออกมาแตกต่างกันไปแล้วแต่คนแต่สถานที่ ชอบมากเพราะมันไม่ซ้ำจำเจ ชวนให้เราตามดูจนจบแบบไม่อยากกด Skip เลย (เป็นข้ออ้างได้ใช่มะว่าเล่นนานกว่าจะจบ😂) มีการ Transition วัตถุไปมา แถมดนตรีก็เพราะฟังเพลินๆ อีก เสียดายว่าเพลงเดียวใช้มันแทบจะทุก Vestige. ฟังมากๆ ก็แอบเบื่ออยู่บ้าง
- การปะติดปะต่อเนื้อเรื่องผ่าน Vestige นั้น สามารถเชื่อมการเดินทางของตัวละครหนึ่ง มาบรรจบกับตัวละครหนึ่งได้ ระหว่างนี้เราก็จะพอมีภาพในหัว หรือลำดับ Timeline ได้ละ และสักพักก็จะเข้าใจสถานการณ์ในอดีตได้เอง โดยไม่ต้องให้เกมมันเล่าป้อนมาตรงๆ
- นึกสภาพว่าเหตุการณ์ในเกมนั้นเป็นปัจจุบัน เป็นแค่ไม่กี่ % ของเรื่องราวทั้งหมดที่เลือกมาเล่า การที่ได้เห็นภาพอดีตชัดเจนแบบนี้ จึงช่วยลดระยะห่างของตัวละครหน้าเก่าๆ ที่เค้ารู้จักกันมาก่อนอยู่แล้ว แต่เพิ่งมารู้จักกับเราไม่นานลงไป
- ในเกมจะมีออนเซ็นให้แช่ด้วย แต่ไม่ใช่แค่เอาขำๆ เพราะระหว่างแช่ก็จะมีให้เรากดเหมือนย้อนดูเหตุการณ์ที่ผ่านๆ มา ช่วยสรุปเนื้อเรื่องให้เราอีกทีหนึ่ง ส่วนนี้แสดงให้เห็นว่าทีมงานใส่ใจกับการเล่าเนื้อเรื่องมากจริงๆ
- ด้วยความที่อนิเมชั่นของเกมนี้มันแข็งๆ เวลาเป็นคัทซีนแล้วก็จะออกมาแปลกๆ น่าขัดใจ ทั้งท่าทางที่เกินจริงดูจูนิเบียวมากกก หรือบทพูดที่แบบพิรี้พิไรรอท่ากัน ยืนซึ่งๆ หน้าก็ไม่บวกสักทีรอให้พูดจบ หรือการเว้นช่องระหว่างคนถาม-คนตอบ ที่ดูนานไม่เป็นธรรมชาติแบบคนพูดจริงๆ คือเรียกว่าเป็นคัทซีนตามฉบับ JRPG มากๆ กี่ทีก็ไม่ชิน😅
- บทพูดค่อนข้างพังผิดกันกับตอนเล่าเรื่องในความทรงจำเลย อันนี้อยู่ที่ความชอบแล้วว่าใครจะโอเคกันมากน้อยแค่ไหน
- ทั้งนี้แล้วก็รู้สึกว่าเกมเพลย์มันถูกขับเคลื่อนไปด้วยเนื้อเรื่องพร้อมๆ กันไม่ทิ้งกันไปไหน ทุกอย่างมันมีผลกระทบถึงกัน แน่นอนว่าการดีไซน์ฉากจบก็ด้วย ก็สัมพันธ์กับกฏธรรมชาติของเรื่องมาก
- Game Progress Route ไม่แน่ใจ แต่เท่าที่ดูมันน่าจะมีลำดับการเล่นแค่วิธีเดียวนะ คือไม่ว่าจะมีทางแยกเยอะยังไง สุดท้ายเราก็จะต้องไปทางที่ถูกต้องทางเดียว
📌
- ตลกร้ายของ Code Vein คือเรารู้ลูกไม้ของเกม แนวทางการเล่น วิธีเล่นให้คุ้มที่สุดหมดแล้ว แต่มันเพราะว่าเราชินมาจาก Dark Souls ต่างหาก คือหยุดเอาไปเปรียบเทียบไม่ได้เลย ขนาด Sekiro ที่เป็นเกมจากค่าย FromSoft แท้ๆ รูปแบบการเล่นยังหนีโซลส์ออกไปได้มากกว่าเกมนี้
- ต้องยอมรับว่า การมีสามัญสำนึกในการเล่นแบบ Dark Souls ช่วยให้เกมง่ายขึ้นจริงๆ
- แถมมันคล้ายกันมากกระทั่ง Concept ของเนื้อเรื่องด้วยซ้ำ
- ถ้าถามว่าแล้วมันเหลืออะไรที่ดีงามผุดผ่องจริงๆ อยู่บ้าง ก็คงเป็นการสร้างตัวละคร กับ Ufotable ที่ทำอนิเมชั่นเปิดเกมนี้ด้วย
📌
- รวมๆ แล้ว. ก็ถือว่าเป็นอีกเรื่องราวหนึ่งที่นำเสนอความงดงาม เปรียบกับความสัมพันธ์ของผู้คน เบ่งบานออกมาเผชิญหน้ากับโลกอันโหดร้ายได้อย่างลงตัว แม้จะขาดรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ไปบ้าง
- ไม่ถึงขนาดจะหลงรักเกมนี้แบบหัวปักหัวปำ แต่เราเลือกจะมองข้ามข้อเสียไป และเล่นมันให้สนุกได้อยู่
- และทั้งหมดนั้นก็คือ Code Vein
2020
(ของเก่าจากเพจ Juke With Me - รีวิวหลังเกมออกไม่นาน)
📌 Nioh คืออะไร และเหมาะกับใครบ้าง ?
- เกม Action PRG ที่มีฉากหลังเป็นญี่ปุ่นในยุคเซนโกคุ
- อาร์ตสไตล์ญี่ปุ่นจ๋า มีทั้งธรรมชาติสวยงามและซากปรักหักพังจากสงคราม
- อิงประวัติศาสตร์ มีตัวละครจากตระกูลดังๆ ในสมัยนั้น เช่นอิเอยาสุ โนบุนางะ ฮิเดโยชิ มาปรากฎด้วย แต่ดัดแปลงให้เข้ากับเกมอีกที
- ขึ้นชื่อเรื่องความยาก ทั้งการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว และศัตรูที่โจมตีคุณได้ถึงตายเป็นเรื่องปกติ
- จึงเหมาะกับผู้เล่นที่ต้องการความท้าทาย และ Experienced พอตัวสำหรับเกมแนวแอคชั่น เพราะไม่มีปรับระดับความยาก สายเสพเนื้อเรื่องชิลๆ ต้องปรับตัวกันหนักถ้าคิดจะหยิบมาเล่น
---
และสำหรับภาค 2 . สิ่งแรกที่เริ่มมาก็ว้าวเลย คือ
📌 สร้างตัวละครเพลินมากก
- Nioh 2 มีระบบ Character Creation เพิ่มมา ต่างจากภาคแรกที่เราจะรับบทบาทเป็น William ซึ่งเป็นตัวละครที่มีหน้าค่าตาชัดเจน
- มาคราวนี้คุณจะเป็นใคร เพศไหนก็ได้แล้ว
- ให้อิสระค่อนข้างสูง ด้วยเมนูที่เข้าใจไม่ยากนัก ปรับแต่งได้ทั้งร่างคนและร่างโยวไค (ปิศาจ)
- สามารถ Upload ตัวละครที่คุณสร้างเอาไว้ แล้วตัวเกมจะ gen โค้ดให้เอาไปแชร์ให้คนอื่น กรอกโค้ดแล้วโหลดตัวละครของเราไปใช้ได้ด้วย อันนี้อย่างเวิร์ค
---
📌 เพราะคุณจะเป็นใครก็ได้ ส่วนร่วมกับเนื้อเรื่องหลักจึงน้อยลง
- ด้วยความที่ตัวละครมันมาจากการ Custom ของเรา จะเป็นชายหรือหญิง เด็กหรือแก่ก็ย่อมได้ พอไปอยู่ในเนื้อเรื่องแล้วก็เลยต้องจำใจเป็นใบ้ ได้อย่างเสียอย่างกันไป
- ต่างจากวิลเลี่ยมในภาคแรกที่มีการโต้ตอบกับตัวละครอื่นๆ ดูเป็นผู้เป็นคนกว่า
- เพราะเป็นใบ้นี่แหละ ทำให้หลายๆ ฉากสำคัญก็ทำได้อย่างมากแค่แสดงสีหน้าเท่านั้น
- โชคดีที่มีชื่อให้เรียกอยู่ (คล้ายกับการแทนตัวละครหลักด้วย Bearer of the Curse / Ashen One ในดาร์คโซลส์) ก็ยังพอจะดูคัทซีนแล้วอินตามไปได้ ถ้าไม่ติดว่าคุณสร้างตัวละครประหลาดหลุดโลกเกินไปนัก จนเข้าฉากแล้วแตกต่างจากชาวบ้านเขาแบบสุดๆ55
---
📌 Gameplay
- Nioh 2 ยังคงไว้ซึ่งความรวดเร็วของแอคชั่น ประสาทสัมผัสต้องดีเพราะทุกอย่างมันไวจริงๆ
- และถ้าคุณประมาทหรือเตรียมตัวมาไม่ดีพอ บทลงโทษของมันก็รุนแรงหนักหน่วง ชวนให้ท้อจนอยากถอนตัวกลับไปฟาร์มมาใหม่มากๆ
- ถ้าให้เปรียบเทียบกับ Sekiro ซึ่งเป็นเกมที่มีธีมคล้ายๆ กัน ทางฝั่ง Nioh 2 จะให้ความสำคัญกับการเตรียมไอเทมให้พร้อม เพราะ Stat จะมีผลต่อการต่อสู้สูงมาก
- ต่อให้คุณจะ Git Gud ฝึกปรือฝีมือมาจนคล่องแล้ว แต่ถ้ากับลูกน้องตัวเดียวยังต้องฟันเป็นสิบๆ Hit เพื่อล้มมันก็คงจะไม่ใช่เรื่อง
- ต่างกับ Sekiro ที่จะเน้นให้เราได้เรียนรู้ประสบการณ์การต่อสู้ และเอาชนะศัตรูได้ด้วย Muscle Memory ของคุณมากกว่า โดยไม่ต้องพะวงถึง Build
- สิ่งหนึ่งที่ Nioh 2 ดีขึ้นจากภาคแรก คือความรู้สึกที่ว่าศัตรูมันไม่ค่อยสมดุลสักเท่าไหร่ เดี๋ยวเก่งเดี๋ยวอ่อน พวกนี้ไม่ค่อยเจอแล้ว
- แต่กลับกัน ความ ปสด. จะไปอยู่ที่แมพมากกว่า
โคตรรรรหลงงงงงงง หลงจนท้อ เป็น Level Design ระดับนรกแตก บางทีติดอยู่กับจุดๆ หนึ่งเป็นชั่วโมง เพื่อจะมารู้ว่ามันมีกลไกพิเศษเพื่อเปิดทางไปต่อ ซึ่งเป็นแค่จุด Interact เล็กๆ ที่ต้องเดินให้ทั่วแล้วสังเกตเอา
- และโดยเฉพาะถ้าคุณแพนิคมัวแต่หนีศัตรูด้วยแล้วล่ะก็ มีโอกาสที่จะวิ่งกลับมาอยู่จุดเดิมสูงมากก ปั่นกันสุดๆ
---
📌 เข้าสู่ความเป็นภูติผีปิศาจมากยิ่งขึ้น
- ตัวเอกในภาคนี้สามารถดึงพลังโยวไค (ภูติผีในเกม) มาใช้ได้ รวมถึงสามารถแปลงร่างได้เองด้วย
- ทำให้ผู้เล่นสามารถพลิกแพลงได้เยอะขึ้น ไม่เพียงแต่สกิลอาวุธ แต่ยังสามารถ Custom ได้ว่า จะเอาสกิลของโยวไคตนใดมาใช้ ไม่ว่าจะทั้ง Active หรือ Passive
- ความหลากหลายของ Build เยอะขึ้นเพราะความแข็งแกร่งของคุณจะสามารถขึ้นได้กับ
-> ค่า Status
-> อาวุธ / เกราะ
-> Skill Point ของสายต่างๆ
-> Guardian Spirit ตัวหลักและตัวรอง
-> Soul Core (พลังโยวไค) ที่ติดตั้ง
-> อื่นๆ เช่นเครื่องประดับ / Option ของอาวุธ หรือ Clan ที่เข้า
- มีพื้นที่พิเศษเพิ่มเข้ามาใน Mission เรียกว่า Dark Realm ซึ่งจะเป็นพื้นที่ของโยวไคที่จะส่งผลต่อสกิลการแปลงร่างของเรา รวมถึงเพิ่มความท้าทายในการต่อสู้ขึ้นไปอีก
---
📌 เป็น More Nioh มากกว่า Nioh ที่ยกเครื่องใหม่
- จริงๆ แล้วเกมนี้เรื่องกราฟิคหรือ Texture ทำมาดีมากๆ โดยเฉพาะการปั้นโมเดลตัวละคร ที่ละเอียดเนียนตาสุดๆ (โดยเฉพาะตัวละครหญิง😂)
- แต่ภาค 2 ยังมองด้วยตาเปล่าแล้วไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก
- ส่วนหนึ่งก็มาจากว่าหลายอย่างยังคล้ายเดิมทั้งหมด ทั้งหน้าตาเมนู หรือไอเทมที่เอาของเดิมมาใช้
- ระบบในตัวเกม ทั้ง Dojo สำหรับฝึกฝน / Blacksmith สำหรับการอัปเกรด และอื่นๆ จัดวางไว้เหมือนเดิม ข้อดีคือผู้เล่นหน้าเก่าไม่ต้องปรับตัวอะไรมากเลย
- มีแค่บาง UI เท่านั้นที่เปลี่ยนหน้าตาใหม่ให้ใช้งานง่ายขึ้น เช่นหน้าอัพ Skill Point แต่จริงๆ แล้ว Mechanic ก็ยังเหมือนเดิม
- จึงดูเป็น Nioh ที่ได้รับการปรับปรุงจุดด้อย ทำให้เกมคอมพลีทขึ้น มีเนื้อเรื่องใหม่ๆ Mission ใหม่ๆ มาให้ได้ลุยกันอีกรอบ ไม่ได้พัฒนาแบบก้าวกระโดดจนน่าตกใจอะไร (ยกเว้นระบบ Character Creation)
---
สรุปภาพรวมเท่าที่เล่นแล้ว
📌 สิ่งที่ Nioh 2 ทำได้ดีขึ้น
- การจัดวางโลเคชั่น มุมกล้อง การใช้แสงเงาสวยขึ้นมากกกๆ โดยเฉพาะในคัทซีน
- แมพที่ดูแล้วไม่ค่อยเจริญหูเจริญตาลดลง
- แม้กระทั่ง Twilight Mission ก็ดูสวยขึ้น ไม่แดงแจ๋แล้ว
- สีสันฉูดฉาด เอฟเฟคต์วิบวับ เครื่องเงา แสงสะท้อนจากเกราะ เห็นแล้วตาเป็นประกาย
- ดีไซน์โยวไคเท่สุดๆ โดยเฉพาะบรรดาบอสทั้งหลาย
- ระบบการต่อสู้ครบเครื่อง ทั้งกายภาพ และพลังเหนือธรรมชาติ ตามแต่จะเลือกใช้
- ชอบลูกเล่น Burst Counter ที่ใส่มาเพื่อเพิ่มวิธีการรับมือกับศัตรูให้มากขึ้น
---
📌 สิ่งที่ยังแปลกๆ เหมือนเดิม
- แมพวกวน และไม่ค่อย Make Sense ที่ต้องวิ่งอ้อมโลก เพื่อกลับมาเปิดประตูทางลัดกลับมาจุดเดิม
- พาร์ทเนื้อเรื่องยังมีฉากที่แบบอิหยังวะ / จังหวะนรกเยอะอยู่ บทพูดก็ยังดู Cliche สมเป็นเกมฟีลลิ่งลูกผู้ชายจ๋า
- ใช้วิธีเล่าเรื่องที่ค่อนข้าง Time Skip แค่ดูคัทซีนอย่างเดียวอาจจะไม่พอ ต้องอ่านคำอธิบายก่อนเริ่มเควส / ตอนจบเควส หรืออ่านเนื้อหาคร่าวๆ ตอนโหลดฉากประกอบ เพื่อทำความเข้าใจกับเหตุการณ์
- แต่ถ้ามองรวมๆ แล้ว เนื้อเรื่องก็โอเคขึ้น ครบรส แถมผูกกันกับภาคแรกเนียนๆ
- ติดแค่วิธีการนำเสนอมันออกมาเท่านั้นเอง
---
เป็นเกมปี 2020 ที่ส่วนตัวแล้วไม่ได้รอคอย แต่จากที่ได้สัมผัสแล้ว ทำให้รู้สึกได้เลยว่านี่เป็นอีกซีรียส์หนึ่ง ที่ควรยกย่องได้อย่างเต็มปากว่ามาถูกทางมาก
ในช่วงที่เราควรอยู่แต่ในบ้านแบบนี้ หากคุณกำลังมองหาเกมแอคชั่นแบบถึงใจสุดๆ สักหนึ่งเกม ที่สามารถใช้เวลาอยู่กับมันได้นาน จนถึงนานมากๆ ล่ะก็
Nioh 2 ก็ตอบโจทย์ตรงนี้ได้ดีที่สุดแล้ว
📌 Nioh คืออะไร และเหมาะกับใครบ้าง ?
- เกม Action PRG ที่มีฉากหลังเป็นญี่ปุ่นในยุคเซนโกคุ
- อาร์ตสไตล์ญี่ปุ่นจ๋า มีทั้งธรรมชาติสวยงามและซากปรักหักพังจากสงคราม
- อิงประวัติศาสตร์ มีตัวละครจากตระกูลดังๆ ในสมัยนั้น เช่นอิเอยาสุ โนบุนางะ ฮิเดโยชิ มาปรากฎด้วย แต่ดัดแปลงให้เข้ากับเกมอีกที
- ขึ้นชื่อเรื่องความยาก ทั้งการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว และศัตรูที่โจมตีคุณได้ถึงตายเป็นเรื่องปกติ
- จึงเหมาะกับผู้เล่นที่ต้องการความท้าทาย และ Experienced พอตัวสำหรับเกมแนวแอคชั่น เพราะไม่มีปรับระดับความยาก สายเสพเนื้อเรื่องชิลๆ ต้องปรับตัวกันหนักถ้าคิดจะหยิบมาเล่น
---
และสำหรับภาค 2 . สิ่งแรกที่เริ่มมาก็ว้าวเลย คือ
📌 สร้างตัวละครเพลินมากก
- Nioh 2 มีระบบ Character Creation เพิ่มมา ต่างจากภาคแรกที่เราจะรับบทบาทเป็น William ซึ่งเป็นตัวละครที่มีหน้าค่าตาชัดเจน
- มาคราวนี้คุณจะเป็นใคร เพศไหนก็ได้แล้ว
- ให้อิสระค่อนข้างสูง ด้วยเมนูที่เข้าใจไม่ยากนัก ปรับแต่งได้ทั้งร่างคนและร่างโยวไค (ปิศาจ)
- สามารถ Upload ตัวละครที่คุณสร้างเอาไว้ แล้วตัวเกมจะ gen โค้ดให้เอาไปแชร์ให้คนอื่น กรอกโค้ดแล้วโหลดตัวละครของเราไปใช้ได้ด้วย อันนี้อย่างเวิร์ค
---
📌 เพราะคุณจะเป็นใครก็ได้ ส่วนร่วมกับเนื้อเรื่องหลักจึงน้อยลง
- ด้วยความที่ตัวละครมันมาจากการ Custom ของเรา จะเป็นชายหรือหญิง เด็กหรือแก่ก็ย่อมได้ พอไปอยู่ในเนื้อเรื่องแล้วก็เลยต้องจำใจเป็นใบ้ ได้อย่างเสียอย่างกันไป
- ต่างจากวิลเลี่ยมในภาคแรกที่มีการโต้ตอบกับตัวละครอื่นๆ ดูเป็นผู้เป็นคนกว่า
- เพราะเป็นใบ้นี่แหละ ทำให้หลายๆ ฉากสำคัญก็ทำได้อย่างมากแค่แสดงสีหน้าเท่านั้น
- โชคดีที่มีชื่อให้เรียกอยู่ (คล้ายกับการแทนตัวละครหลักด้วย Bearer of the Curse / Ashen One ในดาร์คโซลส์) ก็ยังพอจะดูคัทซีนแล้วอินตามไปได้ ถ้าไม่ติดว่าคุณสร้างตัวละครประหลาดหลุดโลกเกินไปนัก จนเข้าฉากแล้วแตกต่างจากชาวบ้านเขาแบบสุดๆ55
---
📌 Gameplay
- Nioh 2 ยังคงไว้ซึ่งความรวดเร็วของแอคชั่น ประสาทสัมผัสต้องดีเพราะทุกอย่างมันไวจริงๆ
- และถ้าคุณประมาทหรือเตรียมตัวมาไม่ดีพอ บทลงโทษของมันก็รุนแรงหนักหน่วง ชวนให้ท้อจนอยากถอนตัวกลับไปฟาร์มมาใหม่มากๆ
- ถ้าให้เปรียบเทียบกับ Sekiro ซึ่งเป็นเกมที่มีธีมคล้ายๆ กัน ทางฝั่ง Nioh 2 จะให้ความสำคัญกับการเตรียมไอเทมให้พร้อม เพราะ Stat จะมีผลต่อการต่อสู้สูงมาก
- ต่อให้คุณจะ Git Gud ฝึกปรือฝีมือมาจนคล่องแล้ว แต่ถ้ากับลูกน้องตัวเดียวยังต้องฟันเป็นสิบๆ Hit เพื่อล้มมันก็คงจะไม่ใช่เรื่อง
- ต่างกับ Sekiro ที่จะเน้นให้เราได้เรียนรู้ประสบการณ์การต่อสู้ และเอาชนะศัตรูได้ด้วย Muscle Memory ของคุณมากกว่า โดยไม่ต้องพะวงถึง Build
- สิ่งหนึ่งที่ Nioh 2 ดีขึ้นจากภาคแรก คือความรู้สึกที่ว่าศัตรูมันไม่ค่อยสมดุลสักเท่าไหร่ เดี๋ยวเก่งเดี๋ยวอ่อน พวกนี้ไม่ค่อยเจอแล้ว
- แต่กลับกัน ความ ปสด. จะไปอยู่ที่แมพมากกว่า
โคตรรรรหลงงงงงงง หลงจนท้อ เป็น Level Design ระดับนรกแตก บางทีติดอยู่กับจุดๆ หนึ่งเป็นชั่วโมง เพื่อจะมารู้ว่ามันมีกลไกพิเศษเพื่อเปิดทางไปต่อ ซึ่งเป็นแค่จุด Interact เล็กๆ ที่ต้องเดินให้ทั่วแล้วสังเกตเอา
- และโดยเฉพาะถ้าคุณแพนิคมัวแต่หนีศัตรูด้วยแล้วล่ะก็ มีโอกาสที่จะวิ่งกลับมาอยู่จุดเดิมสูงมากก ปั่นกันสุดๆ
---
📌 เข้าสู่ความเป็นภูติผีปิศาจมากยิ่งขึ้น
- ตัวเอกในภาคนี้สามารถดึงพลังโยวไค (ภูติผีในเกม) มาใช้ได้ รวมถึงสามารถแปลงร่างได้เองด้วย
- ทำให้ผู้เล่นสามารถพลิกแพลงได้เยอะขึ้น ไม่เพียงแต่สกิลอาวุธ แต่ยังสามารถ Custom ได้ว่า จะเอาสกิลของโยวไคตนใดมาใช้ ไม่ว่าจะทั้ง Active หรือ Passive
- ความหลากหลายของ Build เยอะขึ้นเพราะความแข็งแกร่งของคุณจะสามารถขึ้นได้กับ
-> ค่า Status
-> อาวุธ / เกราะ
-> Skill Point ของสายต่างๆ
-> Guardian Spirit ตัวหลักและตัวรอง
-> Soul Core (พลังโยวไค) ที่ติดตั้ง
-> อื่นๆ เช่นเครื่องประดับ / Option ของอาวุธ หรือ Clan ที่เข้า
- มีพื้นที่พิเศษเพิ่มเข้ามาใน Mission เรียกว่า Dark Realm ซึ่งจะเป็นพื้นที่ของโยวไคที่จะส่งผลต่อสกิลการแปลงร่างของเรา รวมถึงเพิ่มความท้าทายในการต่อสู้ขึ้นไปอีก
---
📌 เป็น More Nioh มากกว่า Nioh ที่ยกเครื่องใหม่
- จริงๆ แล้วเกมนี้เรื่องกราฟิคหรือ Texture ทำมาดีมากๆ โดยเฉพาะการปั้นโมเดลตัวละคร ที่ละเอียดเนียนตาสุดๆ (โดยเฉพาะตัวละครหญิง😂)
- แต่ภาค 2 ยังมองด้วยตาเปล่าแล้วไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก
- ส่วนหนึ่งก็มาจากว่าหลายอย่างยังคล้ายเดิมทั้งหมด ทั้งหน้าตาเมนู หรือไอเทมที่เอาของเดิมมาใช้
- ระบบในตัวเกม ทั้ง Dojo สำหรับฝึกฝน / Blacksmith สำหรับการอัปเกรด และอื่นๆ จัดวางไว้เหมือนเดิม ข้อดีคือผู้เล่นหน้าเก่าไม่ต้องปรับตัวอะไรมากเลย
- มีแค่บาง UI เท่านั้นที่เปลี่ยนหน้าตาใหม่ให้ใช้งานง่ายขึ้น เช่นหน้าอัพ Skill Point แต่จริงๆ แล้ว Mechanic ก็ยังเหมือนเดิม
- จึงดูเป็น Nioh ที่ได้รับการปรับปรุงจุดด้อย ทำให้เกมคอมพลีทขึ้น มีเนื้อเรื่องใหม่ๆ Mission ใหม่ๆ มาให้ได้ลุยกันอีกรอบ ไม่ได้พัฒนาแบบก้าวกระโดดจนน่าตกใจอะไร (ยกเว้นระบบ Character Creation)
---
สรุปภาพรวมเท่าที่เล่นแล้ว
📌 สิ่งที่ Nioh 2 ทำได้ดีขึ้น
- การจัดวางโลเคชั่น มุมกล้อง การใช้แสงเงาสวยขึ้นมากกกๆ โดยเฉพาะในคัทซีน
- แมพที่ดูแล้วไม่ค่อยเจริญหูเจริญตาลดลง
- แม้กระทั่ง Twilight Mission ก็ดูสวยขึ้น ไม่แดงแจ๋แล้ว
- สีสันฉูดฉาด เอฟเฟคต์วิบวับ เครื่องเงา แสงสะท้อนจากเกราะ เห็นแล้วตาเป็นประกาย
- ดีไซน์โยวไคเท่สุดๆ โดยเฉพาะบรรดาบอสทั้งหลาย
- ระบบการต่อสู้ครบเครื่อง ทั้งกายภาพ และพลังเหนือธรรมชาติ ตามแต่จะเลือกใช้
- ชอบลูกเล่น Burst Counter ที่ใส่มาเพื่อเพิ่มวิธีการรับมือกับศัตรูให้มากขึ้น
---
📌 สิ่งที่ยังแปลกๆ เหมือนเดิม
- แมพวกวน และไม่ค่อย Make Sense ที่ต้องวิ่งอ้อมโลก เพื่อกลับมาเปิดประตูทางลัดกลับมาจุดเดิม
- พาร์ทเนื้อเรื่องยังมีฉากที่แบบอิหยังวะ / จังหวะนรกเยอะอยู่ บทพูดก็ยังดู Cliche สมเป็นเกมฟีลลิ่งลูกผู้ชายจ๋า
- ใช้วิธีเล่าเรื่องที่ค่อนข้าง Time Skip แค่ดูคัทซีนอย่างเดียวอาจจะไม่พอ ต้องอ่านคำอธิบายก่อนเริ่มเควส / ตอนจบเควส หรืออ่านเนื้อหาคร่าวๆ ตอนโหลดฉากประกอบ เพื่อทำความเข้าใจกับเหตุการณ์
- แต่ถ้ามองรวมๆ แล้ว เนื้อเรื่องก็โอเคขึ้น ครบรส แถมผูกกันกับภาคแรกเนียนๆ
- ติดแค่วิธีการนำเสนอมันออกมาเท่านั้นเอง
---
เป็นเกมปี 2020 ที่ส่วนตัวแล้วไม่ได้รอคอย แต่จากที่ได้สัมผัสแล้ว ทำให้รู้สึกได้เลยว่านี่เป็นอีกซีรียส์หนึ่ง ที่ควรยกย่องได้อย่างเต็มปากว่ามาถูกทางมาก
ในช่วงที่เราควรอยู่แต่ในบ้านแบบนี้ หากคุณกำลังมองหาเกมแอคชั่นแบบถึงใจสุดๆ สักหนึ่งเกม ที่สามารถใช้เวลาอยู่กับมันได้นาน จนถึงนานมากๆ ล่ะก็
Nioh 2 ก็ตอบโจทย์ตรงนี้ได้ดีที่สุดแล้ว
(ของเก่าจากเพจ Juke With Me - รีวิวหลังเกมออกไม่นาน)
สิ่งแรกเหนืออื่นใดที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย คือ
📌 แมวเยอะมากกกกก🐈🐈🐈🐈
- นอกจากโมเดลของตัวละครที่ละเอียดชนิดซูมดูแล้วตกใจ ก็มีแมวนี่แหละ เห็นมาตั้งแต่ปากซอยว่าตั้งใจทำมาก ทำดีแบบที่ไม่เคยเห็นเกมไหนทำได้มาก่อน
- ใช้คุ้ม มีแมวให้ดูเยอะกันจนอิ่มเท่าที่จะใส่มาได้ แถม Movement ที่ออกมาก็คือดูแล้วเป็นแมวจริงๆ เลย
- ใครที่เล่นแล้วกำลังทำท่าว่าจะไม่ชอบ ก็ควรจะหันมาชอบได้เพราะแมวแหละน่า
---
📌 ทำทุกอย่างให้อลังการ สมกับความเป็นเกมฟอร์มยักษ์
- Midgar อันเป็นฉากหลังของเกมนี้ ถูกรังสรรค์ออกมาได้แบบจินตนาการระเบิดมากๆ
- เข้าใจสภาพความเป็นอยู่ได้ภายในคัทซีนเปิดเรื่อง ไม่ต้องอาศัยการเซ็ตอัพบอกเล่าอะไรที่ดูอีหลักอีเหลื่อ
- เกมสามารถรักษาความอลังการนี้ได้ตลอด ไม่ว่าจะทิวทัศน์ที่เห็นเป็นมุมกว้างเลนส์ Wide อยู่บ่อยครั้ง หรือการเล่าเรื่องแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อบรรจงเอาทุกรายละเอียดออกมาให้เห็น แบบไม่กลัวว่าเกมจะยาว
- สิ่งเหล่านี้เราจะสัมผัสไม่ได้ ถ้าไม่ได้เห็นว่า FF7R นั้นมีโลเคชั่นที่หลากหลาย
- เดินเหินไปทุกสถานที่ วิ่งกันไกลเป็นกิโล ระยะทางสมกับที่เมืองมันกว้างจริงๆ และสมกับที่ขนาดไฟล์เกมมันใหญ่มากด้วย
- จริงๆ แค่เรื่องเที่ยวเพลิน - Screenshot กันสะใจนี่ ก็ถือว่าคุ้มค่ามากแล้ว
---
📌 Gameplay
- รูปแบบการเล่นมีทั้งการวิ่งไปตามด่านเพื่อแก้ปริศนาหาทางไปต่อ และการเข้าฉากต่อสู้
- การต่อสู้เป็นลูกผสมของระบบเดิม ระหว่าง Turn-based กับแอคชั่น คือสามารถบังคับการโจมตี หลบหลีกคู่ต่อสู้ได้อิสระ แต่การจะ Action อื่นๆ เช่นใช้สกิล / เวทย์ / ไอเทม นั้นล้วนจะต้องรอให้เกจ ATB (Active Time Battle) ขึ้นมาก่อน ถึงจะเลือกทำสิ่งที่ต้องการได้
- แรกๆ ก็งงๆ แยกประสาทไม่ถูกเหมือนกัน แต่สักพักจะชินมือและสนุกไปกับการบริหาร ATB ของแต่ละตัวละครในปาร์ตี้ได้เอง
- หรือถ้าไม่ไหวก็มีโหมด Classic ให้เล่น ตัวละครจะบังคับเองอัตโนมัติ ปล่อยหน้าที่ให้เราคอยกด ATB เอาอย่างเดียว
- ภาพรวมตลอดการเล่น คือแทบจะไม่รู้สึกว่าต้องฟาร์ม/Grinding อะไรมากมายเลย
- เราแค่สู้ไปตามซีน ไม่ได้เหนื่อยล้ากับมันเท่าไหร่ เนื่องมาจากอานิสงส์ที่ว่าตัวเกมเองก็ไม่ได้เป็น Open World แต่เคลียร์เป็นฉากๆ ไป
- เพราะพาร์ทต่อสู้มันถูกจัดวางมาแค่แบบพอดีๆ ดังนั้นสำหรับบางคนอาจจะรู้สึกไม่ได้บู๊จุใจมาก ถึงขั้นน่าเบื่อด้วยซ้ำ
- เกมมันถูกแบ่งน้ำหนักของการเล่าเรื่อง ต่อสู้ และพัซเซิ่ลเอาไว้ในความสำคัญที่ใกล้ๆ กัน
- ส่วนที่รู้สึกน่าเบื่ออยากเล่นให้ผ่านไปไวๆ ก็คงจะเป็นพัซเซิ่ลนี่แหละ ไม่ค่อยดึงดูดเท่าไหร่ ยังมาทรงว่าต้องทำอะไรสักอย่างแบบอ้อมค้อมเพื่อปลดล็อคทางไปต่อ เหมือนกันกับที่หลายๆ เกม RPG เป็น
- ก็โชคยังดีว่าในแต่ละแมพ ไม่มีวิวซ้ำซากให้เห็นนัก ก็เลยได้ความสดใหม่อยู่ตลอด ไม่ง่วงจนเกินไป
---
📌 อำนวยความสะดวกในการเล่น และลดสิ่งไม่จำเป็นให้เหลือน้อยที่สุด
- เหมือนทีมพัฒนาน่าจะทำการบ้านและเรียนรู้จากหลายๆ เกมมาเยอะแล้ว เพราะรู้สึกว่าทุกอย่างที่ใส่เข้ามามันมีประโยชน์หมด ไม่มีระบบไหนน่าตัดออกเลย
- รวมไปถึง In-game UI ก็ดีไซน์ออกมาใช้ง่ายมากๆ เท่าที่จะใช้ง่ายได้
- การปรับแต่งตัวละครแต่ละตัวก็ง่าย เปิดอิสระการเลือกสกิลด้วยระบบ Materia
- รวมไปถึงว่าอาวุธก็สามารถเลือกใช้ได้แบบไม่ต้องแคร์เท่าไหร่ว่าอันไหนดีกว่ากัน เพราะการอัปเกรดมันค่อนข้างสมดุล อันที่เป็นอาวุธต้นเกม พลังโจมตีน้อย ก็ใช้ Skill Point อัปเกรดน้อย ส่วนอันที่เยอะก็ใช้เยอะตาม ดังนั้นถ้าหวง Buster Sword ดาบประจำตัวของคลาวด์ไม่อยากเปลี่ยน ก็ใช้ลุยยันจบเกมได้
- อันที่ประทับใจที่สุดน่าจะเป็นเรื่องการบอก Quest Progress ว่าเควสขณะนี้ดำเนินไปถึงไหนแล้ว สรุปให้ฟังเป็นลำดับเหตุการณ์ เผื่อเราตามเนื้อเรื่องไม่ทันไว้ให้ด้วย
- ไม่รู้ไฟนอลภาคเก่าๆ มีมั้ย แต่เห็นแล้วชอบมากจริงๆ มันจะมีประโยชน์มากกับมนุษย์ที่ชอบรับเควสย่อยหลายๆ เควสพร้อมกัน แล้วปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ถูก
- แถมบางครั้งก็มีบอก Objective ที่ยังเข้าถึงไม่ได้ขณะนั้น ให้จำไว้กลับมาแวะดูทีหลังด้วย. User Friendly
จัดๆ
---
📌 Texture ที่น่ากำหมัด สวนทางกับโมเดลตัวละครที่ดูดี
- สิ่งที่คนเล่นบ่นอุบอิบเป็นเสียงเดียวกัน คือเรื่องของ Texture สิ่งแวดล้อมว่ามันหยาบมาก
- เอาจริงๆ ก็ไม่ใช่ทั้งหมด มีแค่บางช่วง แต่ถ้าเห็นก็คือเห็นเด่นเตะตาเลย เช่นดอกไม้ที่เป็นเหลี่ยมโพลีกอน (และคัทซีนยังจะกล้าเอามุมกล้องซูมไปหา) หรือพื้นผิวของเหล็กเกาะสนิมที่ภาพแตกกระจุย ขัดกันกับความละเอียดของโมเดลตัวละครที่สุดจะ UHD (ขนาดที่ว่าดาบคลาวด์ยังซูมดูชัด สะท้อนแสงวิบวับ)
- เพราะฉะนั้น น่าจะต้องบอกว่าความละเอียดของ Texture มันไม่สม่ำเสมอกันมากกว่า
- ถ้ามองข้ามจุดนี้ไปได้ก็ไม่มีปัญหา ถือว่าเล็กน้อยมากๆ เมื่อมันถูกชดเชยมาด้วย Art Direction ที่ดี ทั้งการจัดวางแสงเงา การเล่นสีสัน ทำให้ทุกๆ ฉากยังสวยตรึงตาได้ ชนิดที่ไม่อายเกม AAA เกมไหนเลยในช่วงปีใกล้ๆ กัน
---
📌 เพราะมีผู้คน, Midgar จึงดูสมจริงจับต้องได้
- ไม่ได้รู้สึกว่าทั้งเรื่องนี้มีกันอยุ่แค่แก๊งตัวละครหลักอย่าง Avalanche หรือชินระเพียงไม่กี่คน
- เพราะเราจะได้เห็นผู้คนเดินเพ่นพ่านตามจุดชุมชน (และแน่นอน. แมวด้วย) พร้อมมีบทพูดที่ฟังแล้วดูมีชีวิตชีวามาก เติมมิติให้สมกับความเป็นเมืองขึ้นเยอะ ไม่ว่าจะไปที่ไหน
- ที่สำคัญมัน Full Voice ด้วย มีเสียงพากย์กับทุกสิ่งอย่างในเกม!
- ถ้าเป็นเกมสไตล์ Old School มันก็คือการกดพูดคุยกับตัวประกอบนั่นแหละ เพียงแต่ว่า FF7R อันนี้เราเดินผ่านก็จะได้ยินผู้คนคุยกันจ๊อกแจ๊กเลย บางทีก็คุยหลายวงซ้อนกันด้วย เลยดูเป็นธรรมชาติดี
- มีทั้งคุยเรื่องสัพเพเหระ ไปจนถึงออกความคิดเห็นกับสถานการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้น เป็นเสียงสะท้อนจาก Public ว่าพวกเขาคิดเห็นยังไง กับเหตุการณ์ที่ตัวละครหลักๆ ได้กระทำลงไป
- แต่อันนี้ต้อง Note นิดนึง ว่าเกมมันขึ้น Subtitle ให้แค่บทพูดหลักๆ เท่านั้น ถ้าอยากให้มีซับของบรรดาตัวประกอบด้วย ต้องไปเปิด Chat Dialog ในหน้าตั้งค่าก่อน (จริงๆ น่าจะเปิดไว้เป็นค่าเริ่มต้นไปเลยนะ)
---
📌 Final Fantasy VII จากการได้สัมผัสครั้งแรก
- ไม่ทราบว่าเนื้อเรื่องมันถูกปรับเปลี่ยนจากต้นฉบับไปมากขนาดไหน แต่ถ้ามองในมุมมองของคนที่ได้เล่นแบบสดใหม่เลย ต้องบอกว่าพาร์ทเนื้อเรื่องถูกดีไซน์ไว้ดีมาก ครบรสทุกอารมณ์ และดำเนินไปด้วยจังหวะที่กำลังพอดี
- เชื่อว่านี่คงบาลานซ์ที่สุดแล้วล่ะ ที่จะต้องใส่ตัวละคร, โมเมนต์ หรือดนตรีเข้ามา เพื่อเอาใจแฟนๆ หน้าเก่า แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ทิ้งให้ผู้เล่นหน้าใหม่นั่งงงอยู่กลางทาง ไม่รู้ที่มาที่ไปว่ามันคืออะไรจนเกินไป
- สคริปต์ปลีกย่อยของแต่ละเหตุการณ์ยังขาดความสมจริง ออกจะโอเวอร์ไปทางการ์ตูนญี่ปุ่นอยู่ด้วยซ้ำ หลายๆ อย่างก็ได้แต่ตั้งคำถามว่ามันทำได้จริงดิ (5555)
- แต่ก็พอเข้าใจได้ เพราะจะรีเมคยังไง เนื้อเรื่องมันก็ยังต้องอยู่ในแนวทางของ Original อยู่บ้าง
- ดังนั้นก็เห็นแล้วแหละว่าพยายามให้ทุกอย่างมันเนียนไม่ขัดตาที่สุด เท่าที่จะทำได้แล้ว
- สุดแห่งดีก็คือคัทซีน ดูอิ่มดูเพลินมาก ยัดมาเยอะเท่าที่จะยัดได้ ประกอบกับว่าเนื้อเรื่องมันแทบจะเดินตลอดด้วยแล้ว เลยรู้สึกเหมือนกับว่าได้ดูอนิเมชั่นเรื่องยาว (ยาวจัดๆ) แบบม้วนเดียวจบเลย
- เล่าเรื่องเข้าใจง่าย ตัดต่อลำดับเหตุการณ์ดี ส่งต่อมุมกล้องกันดี
---
📌 อื่นๆ
- เฟรมเรตมีตกบ้าง ส่วนใหญ่คือตอนสู้นั่นแหละ เหมือนกับเป็นสัญญาณว่าตัวเกมมันปริ่มกับสเปค PS4 สุดๆ แล้ว ถ้าไป PS5 ล่ะก็ไม่ต้องห่วงยังไงยังงั้น 😂
- ก็ถ้าเกิดว่าเกมได้ลง PC ด้วยจริงๆ มันคงไปสุดทางได้เลย เพราะทำเฟรมเรตลื่นๆ ได้ รวมถึง Texture ที่ถ้าเกมไม่อัปเดตแก้ให้ ก็คงมีชาว Mod มาช่วยปรับปรุงอยู่ดี
- View Distance ไกลสุดลูกหูลูกตา เห็นมอนสเตอร์ทุกตัวมาแต่ไกล เท่าที่ฉากจะไกลได้ เลยรู้สึกว่าทุกสิ่งที่สายตาเราเห็นมันสามารถไปถึงและสัมผัสได้จริงๆ
- เสียงพากย์ตัวละครหลักเทพทุกคน เราเลือกเป็นเสียงญี่ปุ่น และรู้สึกว่ามัน Express ความรู้สึกของตัวละครออกมาได้จริงๆ
- ประทับใจแอริธมาก ตอนแรกไม่ค่อยอะไรกับตัวละครนี้เพราะลุคดูธรรมดา แต่พอได้ฟังน้ำเสียงสำเนียงการพูด ประกอบกับจริตท่าทางด้วยแล้ว.. น่ารัก!
---
📌 โดยรวมแล้ว
Final Fantasy VII Remake คือเกมที่สเกลใหญ่มากๆ กับทุกอย่าง ทั้งสถานที่ เนื้อเรื่อง หรือความยาวของตัวเกม เล่นจนคุ้มแบบไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่นๆ ที่จะตามมาเลย
มีบางอย่าง Awkward อยู่บ้าง แต่ถ้ามองโดยภาพรวมก็คือเกมที่สนุก รู้จักเอนเตอร์เทนคนเล่นได้จริงๆ เป็น คุ ณ ภ า พ ระดับที่น่าจะทำให้ผู้เล่นทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะชอบแนวไหน ก็เล่นเกมนี้สนุกได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง (ถ้าเล่นจนจบ)
สิ่งแรกเหนืออื่นใดที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย คือ
📌 แมวเยอะมากกกกก🐈🐈🐈🐈
- นอกจากโมเดลของตัวละครที่ละเอียดชนิดซูมดูแล้วตกใจ ก็มีแมวนี่แหละ เห็นมาตั้งแต่ปากซอยว่าตั้งใจทำมาก ทำดีแบบที่ไม่เคยเห็นเกมไหนทำได้มาก่อน
- ใช้คุ้ม มีแมวให้ดูเยอะกันจนอิ่มเท่าที่จะใส่มาได้ แถม Movement ที่ออกมาก็คือดูแล้วเป็นแมวจริงๆ เลย
- ใครที่เล่นแล้วกำลังทำท่าว่าจะไม่ชอบ ก็ควรจะหันมาชอบได้เพราะแมวแหละน่า
---
📌 ทำทุกอย่างให้อลังการ สมกับความเป็นเกมฟอร์มยักษ์
- Midgar อันเป็นฉากหลังของเกมนี้ ถูกรังสรรค์ออกมาได้แบบจินตนาการระเบิดมากๆ
- เข้าใจสภาพความเป็นอยู่ได้ภายในคัทซีนเปิดเรื่อง ไม่ต้องอาศัยการเซ็ตอัพบอกเล่าอะไรที่ดูอีหลักอีเหลื่อ
- เกมสามารถรักษาความอลังการนี้ได้ตลอด ไม่ว่าจะทิวทัศน์ที่เห็นเป็นมุมกว้างเลนส์ Wide อยู่บ่อยครั้ง หรือการเล่าเรื่องแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อบรรจงเอาทุกรายละเอียดออกมาให้เห็น แบบไม่กลัวว่าเกมจะยาว
- สิ่งเหล่านี้เราจะสัมผัสไม่ได้ ถ้าไม่ได้เห็นว่า FF7R นั้นมีโลเคชั่นที่หลากหลาย
- เดินเหินไปทุกสถานที่ วิ่งกันไกลเป็นกิโล ระยะทางสมกับที่เมืองมันกว้างจริงๆ และสมกับที่ขนาดไฟล์เกมมันใหญ่มากด้วย
- จริงๆ แค่เรื่องเที่ยวเพลิน - Screenshot กันสะใจนี่ ก็ถือว่าคุ้มค่ามากแล้ว
---
📌 Gameplay
- รูปแบบการเล่นมีทั้งการวิ่งไปตามด่านเพื่อแก้ปริศนาหาทางไปต่อ และการเข้าฉากต่อสู้
- การต่อสู้เป็นลูกผสมของระบบเดิม ระหว่าง Turn-based กับแอคชั่น คือสามารถบังคับการโจมตี หลบหลีกคู่ต่อสู้ได้อิสระ แต่การจะ Action อื่นๆ เช่นใช้สกิล / เวทย์ / ไอเทม นั้นล้วนจะต้องรอให้เกจ ATB (Active Time Battle) ขึ้นมาก่อน ถึงจะเลือกทำสิ่งที่ต้องการได้
- แรกๆ ก็งงๆ แยกประสาทไม่ถูกเหมือนกัน แต่สักพักจะชินมือและสนุกไปกับการบริหาร ATB ของแต่ละตัวละครในปาร์ตี้ได้เอง
- หรือถ้าไม่ไหวก็มีโหมด Classic ให้เล่น ตัวละครจะบังคับเองอัตโนมัติ ปล่อยหน้าที่ให้เราคอยกด ATB เอาอย่างเดียว
- ภาพรวมตลอดการเล่น คือแทบจะไม่รู้สึกว่าต้องฟาร์ม/Grinding อะไรมากมายเลย
- เราแค่สู้ไปตามซีน ไม่ได้เหนื่อยล้ากับมันเท่าไหร่ เนื่องมาจากอานิสงส์ที่ว่าตัวเกมเองก็ไม่ได้เป็น Open World แต่เคลียร์เป็นฉากๆ ไป
- เพราะพาร์ทต่อสู้มันถูกจัดวางมาแค่แบบพอดีๆ ดังนั้นสำหรับบางคนอาจจะรู้สึกไม่ได้บู๊จุใจมาก ถึงขั้นน่าเบื่อด้วยซ้ำ
- เกมมันถูกแบ่งน้ำหนักของการเล่าเรื่อง ต่อสู้ และพัซเซิ่ลเอาไว้ในความสำคัญที่ใกล้ๆ กัน
- ส่วนที่รู้สึกน่าเบื่ออยากเล่นให้ผ่านไปไวๆ ก็คงจะเป็นพัซเซิ่ลนี่แหละ ไม่ค่อยดึงดูดเท่าไหร่ ยังมาทรงว่าต้องทำอะไรสักอย่างแบบอ้อมค้อมเพื่อปลดล็อคทางไปต่อ เหมือนกันกับที่หลายๆ เกม RPG เป็น
- ก็โชคยังดีว่าในแต่ละแมพ ไม่มีวิวซ้ำซากให้เห็นนัก ก็เลยได้ความสดใหม่อยู่ตลอด ไม่ง่วงจนเกินไป
---
📌 อำนวยความสะดวกในการเล่น และลดสิ่งไม่จำเป็นให้เหลือน้อยที่สุด
- เหมือนทีมพัฒนาน่าจะทำการบ้านและเรียนรู้จากหลายๆ เกมมาเยอะแล้ว เพราะรู้สึกว่าทุกอย่างที่ใส่เข้ามามันมีประโยชน์หมด ไม่มีระบบไหนน่าตัดออกเลย
- รวมไปถึง In-game UI ก็ดีไซน์ออกมาใช้ง่ายมากๆ เท่าที่จะใช้ง่ายได้
- การปรับแต่งตัวละครแต่ละตัวก็ง่าย เปิดอิสระการเลือกสกิลด้วยระบบ Materia
- รวมไปถึงว่าอาวุธก็สามารถเลือกใช้ได้แบบไม่ต้องแคร์เท่าไหร่ว่าอันไหนดีกว่ากัน เพราะการอัปเกรดมันค่อนข้างสมดุล อันที่เป็นอาวุธต้นเกม พลังโจมตีน้อย ก็ใช้ Skill Point อัปเกรดน้อย ส่วนอันที่เยอะก็ใช้เยอะตาม ดังนั้นถ้าหวง Buster Sword ดาบประจำตัวของคลาวด์ไม่อยากเปลี่ยน ก็ใช้ลุยยันจบเกมได้
- อันที่ประทับใจที่สุดน่าจะเป็นเรื่องการบอก Quest Progress ว่าเควสขณะนี้ดำเนินไปถึงไหนแล้ว สรุปให้ฟังเป็นลำดับเหตุการณ์ เผื่อเราตามเนื้อเรื่องไม่ทันไว้ให้ด้วย
- ไม่รู้ไฟนอลภาคเก่าๆ มีมั้ย แต่เห็นแล้วชอบมากจริงๆ มันจะมีประโยชน์มากกับมนุษย์ที่ชอบรับเควสย่อยหลายๆ เควสพร้อมกัน แล้วปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ถูก
- แถมบางครั้งก็มีบอก Objective ที่ยังเข้าถึงไม่ได้ขณะนั้น ให้จำไว้กลับมาแวะดูทีหลังด้วย. User Friendly
จัดๆ
---
📌 Texture ที่น่ากำหมัด สวนทางกับโมเดลตัวละครที่ดูดี
- สิ่งที่คนเล่นบ่นอุบอิบเป็นเสียงเดียวกัน คือเรื่องของ Texture สิ่งแวดล้อมว่ามันหยาบมาก
- เอาจริงๆ ก็ไม่ใช่ทั้งหมด มีแค่บางช่วง แต่ถ้าเห็นก็คือเห็นเด่นเตะตาเลย เช่นดอกไม้ที่เป็นเหลี่ยมโพลีกอน (และคัทซีนยังจะกล้าเอามุมกล้องซูมไปหา) หรือพื้นผิวของเหล็กเกาะสนิมที่ภาพแตกกระจุย ขัดกันกับความละเอียดของโมเดลตัวละครที่สุดจะ UHD (ขนาดที่ว่าดาบคลาวด์ยังซูมดูชัด สะท้อนแสงวิบวับ)
- เพราะฉะนั้น น่าจะต้องบอกว่าความละเอียดของ Texture มันไม่สม่ำเสมอกันมากกว่า
- ถ้ามองข้ามจุดนี้ไปได้ก็ไม่มีปัญหา ถือว่าเล็กน้อยมากๆ เมื่อมันถูกชดเชยมาด้วย Art Direction ที่ดี ทั้งการจัดวางแสงเงา การเล่นสีสัน ทำให้ทุกๆ ฉากยังสวยตรึงตาได้ ชนิดที่ไม่อายเกม AAA เกมไหนเลยในช่วงปีใกล้ๆ กัน
---
📌 เพราะมีผู้คน, Midgar จึงดูสมจริงจับต้องได้
- ไม่ได้รู้สึกว่าทั้งเรื่องนี้มีกันอยุ่แค่แก๊งตัวละครหลักอย่าง Avalanche หรือชินระเพียงไม่กี่คน
- เพราะเราจะได้เห็นผู้คนเดินเพ่นพ่านตามจุดชุมชน (และแน่นอน. แมวด้วย) พร้อมมีบทพูดที่ฟังแล้วดูมีชีวิตชีวามาก เติมมิติให้สมกับความเป็นเมืองขึ้นเยอะ ไม่ว่าจะไปที่ไหน
- ที่สำคัญมัน Full Voice ด้วย มีเสียงพากย์กับทุกสิ่งอย่างในเกม!
- ถ้าเป็นเกมสไตล์ Old School มันก็คือการกดพูดคุยกับตัวประกอบนั่นแหละ เพียงแต่ว่า FF7R อันนี้เราเดินผ่านก็จะได้ยินผู้คนคุยกันจ๊อกแจ๊กเลย บางทีก็คุยหลายวงซ้อนกันด้วย เลยดูเป็นธรรมชาติดี
- มีทั้งคุยเรื่องสัพเพเหระ ไปจนถึงออกความคิดเห็นกับสถานการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้น เป็นเสียงสะท้อนจาก Public ว่าพวกเขาคิดเห็นยังไง กับเหตุการณ์ที่ตัวละครหลักๆ ได้กระทำลงไป
- แต่อันนี้ต้อง Note นิดนึง ว่าเกมมันขึ้น Subtitle ให้แค่บทพูดหลักๆ เท่านั้น ถ้าอยากให้มีซับของบรรดาตัวประกอบด้วย ต้องไปเปิด Chat Dialog ในหน้าตั้งค่าก่อน (จริงๆ น่าจะเปิดไว้เป็นค่าเริ่มต้นไปเลยนะ)
---
📌 Final Fantasy VII จากการได้สัมผัสครั้งแรก
- ไม่ทราบว่าเนื้อเรื่องมันถูกปรับเปลี่ยนจากต้นฉบับไปมากขนาดไหน แต่ถ้ามองในมุมมองของคนที่ได้เล่นแบบสดใหม่เลย ต้องบอกว่าพาร์ทเนื้อเรื่องถูกดีไซน์ไว้ดีมาก ครบรสทุกอารมณ์ และดำเนินไปด้วยจังหวะที่กำลังพอดี
- เชื่อว่านี่คงบาลานซ์ที่สุดแล้วล่ะ ที่จะต้องใส่ตัวละคร, โมเมนต์ หรือดนตรีเข้ามา เพื่อเอาใจแฟนๆ หน้าเก่า แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ทิ้งให้ผู้เล่นหน้าใหม่นั่งงงอยู่กลางทาง ไม่รู้ที่มาที่ไปว่ามันคืออะไรจนเกินไป
- สคริปต์ปลีกย่อยของแต่ละเหตุการณ์ยังขาดความสมจริง ออกจะโอเวอร์ไปทางการ์ตูนญี่ปุ่นอยู่ด้วยซ้ำ หลายๆ อย่างก็ได้แต่ตั้งคำถามว่ามันทำได้จริงดิ (5555)
- แต่ก็พอเข้าใจได้ เพราะจะรีเมคยังไง เนื้อเรื่องมันก็ยังต้องอยู่ในแนวทางของ Original อยู่บ้าง
- ดังนั้นก็เห็นแล้วแหละว่าพยายามให้ทุกอย่างมันเนียนไม่ขัดตาที่สุด เท่าที่จะทำได้แล้ว
- สุดแห่งดีก็คือคัทซีน ดูอิ่มดูเพลินมาก ยัดมาเยอะเท่าที่จะยัดได้ ประกอบกับว่าเนื้อเรื่องมันแทบจะเดินตลอดด้วยแล้ว เลยรู้สึกเหมือนกับว่าได้ดูอนิเมชั่นเรื่องยาว (ยาวจัดๆ) แบบม้วนเดียวจบเลย
- เล่าเรื่องเข้าใจง่าย ตัดต่อลำดับเหตุการณ์ดี ส่งต่อมุมกล้องกันดี
---
📌 อื่นๆ
- เฟรมเรตมีตกบ้าง ส่วนใหญ่คือตอนสู้นั่นแหละ เหมือนกับเป็นสัญญาณว่าตัวเกมมันปริ่มกับสเปค PS4 สุดๆ แล้ว ถ้าไป PS5 ล่ะก็ไม่ต้องห่วงยังไงยังงั้น 😂
- ก็ถ้าเกิดว่าเกมได้ลง PC ด้วยจริงๆ มันคงไปสุดทางได้เลย เพราะทำเฟรมเรตลื่นๆ ได้ รวมถึง Texture ที่ถ้าเกมไม่อัปเดตแก้ให้ ก็คงมีชาว Mod มาช่วยปรับปรุงอยู่ดี
- View Distance ไกลสุดลูกหูลูกตา เห็นมอนสเตอร์ทุกตัวมาแต่ไกล เท่าที่ฉากจะไกลได้ เลยรู้สึกว่าทุกสิ่งที่สายตาเราเห็นมันสามารถไปถึงและสัมผัสได้จริงๆ
- เสียงพากย์ตัวละครหลักเทพทุกคน เราเลือกเป็นเสียงญี่ปุ่น และรู้สึกว่ามัน Express ความรู้สึกของตัวละครออกมาได้จริงๆ
- ประทับใจแอริธมาก ตอนแรกไม่ค่อยอะไรกับตัวละครนี้เพราะลุคดูธรรมดา แต่พอได้ฟังน้ำเสียงสำเนียงการพูด ประกอบกับจริตท่าทางด้วยแล้ว.. น่ารัก!
---
📌 โดยรวมแล้ว
Final Fantasy VII Remake คือเกมที่สเกลใหญ่มากๆ กับทุกอย่าง ทั้งสถานที่ เนื้อเรื่อง หรือความยาวของตัวเกม เล่นจนคุ้มแบบไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่นๆ ที่จะตามมาเลย
มีบางอย่าง Awkward อยู่บ้าง แต่ถ้ามองโดยภาพรวมก็คือเกมที่สนุก รู้จักเอนเตอร์เทนคนเล่นได้จริงๆ เป็น คุ ณ ภ า พ ระดับที่น่าจะทำให้ผู้เล่นทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะชอบแนวไหน ก็เล่นเกมนี้สนุกได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง (ถ้าเล่นจนจบ)
(ของเก่าจากเพจ Juke With Me - รีวิวหลังเกมออกไม่นาน)
สำหรับแฟน LoL แล้ว จะบอกว่าฝันเป็นจริงก็คงไม่เกินไป
เพราะในที่สุดคุณก็จะสามารถหยิบตัวละครตัวโปรดของคุณมาเล่นได้ทุกที่ทุกเวลา
.
และถึงจะช้ากว่าตลาดไปนิดหน่อย แต่ Wild Rift ก็ถือว่าทำการบ้านมาครบรอบด้าน สำหรับการปรับปรุงเอา League of Legends ฉบับดั้งเดิม มาย่อนิดขยายหน่อย ให้เหมาะกับการเล่นบนสมาร์ทโฟนที่สุด
-
เรื่องแรกที่ผู้เล่นจาก PC ต้องปรับตัว ก็คือ
📌 การเปลี่ยนจากเลื่อนหน้าจอเอง มาเป็นการล็อคมุมกล้องกับแชมเปี้ยน
ซึ่งจะทำให้มุมกล้องถูกเลื่อนตลอดเวลา และอาจไม่สะดวกในการสอดส่องดูพื้นที่ รวมถึงบางคนก็ไม่สะดวกกับการเล่นตัวละครที่มี Mobiliity สูง ๆ ต้องพุ่งไปพุ่งมาด้วยเช่นกัน
.
ทั้งนี้แล้วเกมก็ยังทำให้คุณสามารถเลื่อนจอเองได้อยู่ เพียงแต่จะเน้นที่การล็อคกลางตัวแชมเปี้ยน (ตัวละครที่คุณควบคุม) เป็นหลัก
-
📌 ความง่ายของ Tutorial
ถูกส่งมอบให้ผู้เล่นแบบ Step by Step. เป็นมิตรในระดับที่ต่อให้คุณไม่เคยเล่น MOBA มาก่อนเลยก็เข้าใจ ส่วนฝั่งของผู้เล่นที่มีประสบการณ์แล้ว ก็มีปุ่ม Skip มาให้คุณกระโดดไปสู่เกมจริงได้เลยเหมือนกัน (แต่แนะนำว่าควรเล่น Tutorial เพราะยังไงก็ต้องเรียนรู้การควบคุมใหม่)
.
ความง่ายในการเริ่มต้นเล่นอีกอย่าง คือตัวเกมจัดวาง Preset ของตัวละครมาให้ล่วงหน้าเรียบร้อย เพื่อบอกอ้อม ๆ ว่าตัวที่คุณเลือกเป็น Role อะไร ควรใช้ Spell อะไร และแนะนำ Item ให้ว่าควรออกอะไรบ้างด้วย
-
📌 Controls
ดีไซน์วิธีการควบคุมใหม่ เพื่อให้เหมาะกับการเล่นแชมเปี้ยนทุก ๆ ตัวด้วยการทัช แทนการกดคีย์บอร์ดและเมาส์แบบเดิม
.
บางตัวที่เล่นบน PC ยาก มาเล่นบนมือถืออาจมีตัวช่วยให้มันง่ายขึ้น
หรือบางตัวเล่นง่ายบน PC แต่มาลงบนมือถือกลับยากกว่าเดิม
.
ตัวอย่างเช่น ตัวละครที่ยิงเป็น Skill Shot ต้องอาศัยการเล็งเป้าให้โดนศัตรู เกมก็จะช่วยเหลือให้ว่าคุณล็อคเป้าศัตรูตัวไหนอยู่แล้ว ก็กดแล้วปล่อยได้เลย สกิลที่ออกจะไปตรงเป้า โดยไม่ต้องเสียเวลากดค้างแล้วเล็งเอง
.
ส่วนนี้จะเป็นประโยชน์กับแชมเปี้ยนที่สกิลเป็นเล็งเป้าแบบออกท่าไว เช่น Yasuo (แทงดาบ) หรือ Zed (ปาดาวกระจาย) เพราะโอกาสโดนสูง แต่ถ้าตัวไหนออกสกิลเป็น Projectile ช้าหน่อยกว่าจะถึงเป้า เช่น Lux (ปาบอลแสง) หรือตัวละครอื่น ๆ ที่ควรต้องเล็งเผื่อว่าศัตรูจะหลบ ก็จะทำให้สุดท้ายแล้วต้องเสียเวลาเล็งเองอยู่ดี
.
ในแง่ที่เกมช่วยให้ง่ายขึ้นยังมีอีก อยู่ในรูปแบบของการปรับวิธีการใช้สกิลไปเลย เช่น Lee Sin ที่สามารถพุ่งตัวไปยังที่ว่าง ๆ ได้ทันที โดยไม่ต้องปัก Ward หรือเล็งไปที่เพื่อนก่อน หรือท่าไม้ตายของ Jhin ที่คุณสามารถกดตำแหน่งที่ต้องการเพื่อยิงได้ โดยไม่ต้องลากนิ้วเล็งให้ถูก
.
สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุผลว่า Riot Games ไม่สามารถยกเอาทุกตัวละครมาลงเวอร์ชั่นมือถือได้ทันที ต้องดูความเหมาะสมทั้งเรื่องการบังคับ และ Balance ให้แน่ใจก่อนเท่าที่จะทำได้ จึงค่อยปล่อยมาให้เล่นบนมือถือ
-
📌 Performance และ Graphic
Wild Rift ไม่กินสเปคอย่างที่คิด
ชิพเก่าหน่อย อายุ 2-3 ปี ก็สามารถทำ Framerate แตะที่ 60 ได้
ปรับแต่ง Graphic ได้ตามใจชอบ เข้าถึง Device ได้กว้างมาก ๆ แบบหายห่วง
.
กินแบตมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ส่วนตัวถ้าให้เทียบกับเกมอื่น ๆ ในเครื่องแล้ว Wild Rift ถือว่ากินน้อย อีกทั้งเครื่องก็ไม่ร้อนจนเกินไป เท่าที่ทดลองเล่นติดต่อกันหลาย ๆ เกมถือว่าน่าพึงพอใจเลย
.
ส่วนเรื่องกราฟิก สิ่งหนึ่งที่เกมนี้สะดุดตาเกมเมอร์เข้ามาก ๆ คือโมเดลของตัวละคร
เพราะ Riot ลงทุนปั้นใหม่ จนแทบจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าดูดีกว่าเกมต้นฉบับไปเยอะมากกก 55
.
เท่านั้นไม่พอ, Skin ของแต่ละตัวละครก็ขายกันอลังการ มีอนิเมชั่นหวือหวาให้ดูที่หน้า Store แบบที่เห็นแล้วมันจะซื้อให้ได้เลย ที่สุดของความใส่ใจ แน่นอนว่าแลกกับการที่ยังมีไม่มาก เพราะมันก็ต้องทำโมเดลใหม่ด้วยเหมือนกัน
.
ส่วนอื่นนอกเหนือจากเรื่องโมเดล ทั้ง Texture, สภาพแวดล้อม, เอฟเฟคต์สกิล อยู่ในคุณภาพระดับเดียวกันกับ PC ให้ความรู้สึกว่าเป็นแมพ Summoner’s Rift เดิม ๆ ที่คุ้นเคย อาจมีรายละเอียดต่างกันบ้างเล็กน้อย คือฝั่งของ Wild Rift จะให้สีสันที่สดใส เล่นแสงเงาได้เนียนตาขึ้น (ให้ฟีลดิสนีย์ขึ้นได้อีก) ตามความใหม่ของตัว Unity Engine ให้ดูเข้ากันกับยุคสมัยไปในตัว
-
📌 ความแตกต่างอื่น ๆ จากเวอร์ชั่น PC
ที่เห็นชัดที่สุดก็คือเรื่อง Item ที่มีให้เลือกใช้งานได้น้อยลงกว่าเดิม ไอเทมที่อยู่ในสายเดียวกันแต่ต่าง Passive มักจะถูกเลือกมาลงเกมนี้แค่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น (เช่น Infinity Edge เอาไว้ ส่วน Essence Reaver โดนตัดออก) หรือบางทีก็เอาออกไปเฉย ๆ เลย เช่น Hydra หรือ Guinsoo ที่ทำให้แอบสงสัยเหมือนกันว่ามันมีเหตุผลอื่นอะไรหรือเปล่า ที่ทำให้ไม่ได้ใส่เข้ามา หรืออาจจะเพิ่มตามมาในภายหลัง
.
ไอเทมจำนวนมากที่โดนตัดออก ทำให้ความหลากหลายในการเลือก Build น้อยลงอย่างน่าใจหายตามไปด้วย น่าจะไม่ถูกใจผู้เล่นกลุ่มไอเดียพิเรนทร์พอสมควร ทั้งนี้ก็แลกมากับมีไอเทมที่เป็น Exclusive เฉพาะบนมือถือเพิ่มมาให้บ้างเล็กน้อย
.
นอกเหนือจากเรื่องการตัดไอเทมออก, Wild Rift ยังปรับเปลี่ยนให้สามารถออกไอเทมประเภทกดใช้ได้แค่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น โดยจับมันไปไว้ใน Slot พิเศษ ให้ออกเป็นไอเทมต่อขึ้นมาจากรองเท้าแทน ทำให้โมเมนต์ที่เราจะได้เห็น Hecarim กดไอเทมแบบหมดหน้าตักจนวิ่งไวเป็นจรวดสเปซเอ็กซ์ ไม่มีทางเกิดขึ้นกับเกมนี้
.
รวมไปถึงเรื่องที่ว่า Teleport เอง ก็โดนเปลี่ยนสภาพจาก Spell มาเป็นไอเทมให้ออก นั่นทำให้ Teleport เป็นอะไรที่เข้าถึงได้ยากกว่าเดิม ไม่สามารถใช้ได้ตั้งแต่ช่วงต้นเกมอีกต่อไป
.
Scale หลาย ๆ อย่างถูกปรับให้เหมาะสมกับ Pace ของเกมที่รวดเร็ว เพิ่มจำนวนเงินที่ได้ เพื่อทำให้ไม่เสียเวลาฟาร์มมากเกินไป (แน่นอน - Nasus ก็ถูกปรับให้เก็บ Stack เร็วขึ้นด้วย !) เอา Inhibitor และป้อมหน้าฐานศัตรูออก ทำให้การจบเกมยิ่งทำได้ไวมากขึ้น ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการดีไซน์ให้สอดรับกับความกระชับฉับไว ตามแบบฉบับของเกมมือถือ และเชื่อว่า Riot Games เองก็ทำการบ้านมาดีไม่น้อย ที่จับเอา LoL เดิมมาย่อยลงมือถือแล้ว Balance ยังไม่พังมากนัก แบบเคยแอบกลัว ๆ ไว้ก่อนหน้า
-
📌 โดยรวมแล้ว.
Wild Rift เป็นเกมที่เข้าถึงได้แบบโคตรง่าย มาพร้อม User Experience ระดับพระกาฬที่พร้อมปูพรมแดงต้อนรับคนที่ไม่เคยรู้จัก LoL มาก่อนอย่างดี เล่นสนุกลุกนั่งสบาย แต่ยังคงไว้ซึ่งคอนเซ็ปต์การส่งเสริมให้เล่นกันเป็นทีม แบ่งหน้าที่ ตำแหน่ง และสื่อสารกันให้เข้าใจ เอาไว้อย่างเหนียวแน่นเช่นเคย
.
ด้วยแรงโปรโมต + ความน่าเชื่อถือที่ได้รับการสั่งสมมาเป็นทุนเดิมอยู่แล้วสำหรับแบรนด์ LoL นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเกมมือถือ ที่จะสามารถยืนระยะได้ยาวนานแน่นอน รวมถึงหายห่วงสำหรับพาร์ทของ Esports ด้วย เพราะต้องบอกว่า Riot เป็นค่ายที่พร้อมในด้านนี้ที่สุดเบอร์ต้น ๆ ของโลกอยู่แล้ว
-
League of Legends: Wild Rift
เกมยอดเยี่ยม ผู้คนยิ้มแย้ม แต่ไม่มี Shaco.
สำหรับแฟน LoL แล้ว จะบอกว่าฝันเป็นจริงก็คงไม่เกินไป
เพราะในที่สุดคุณก็จะสามารถหยิบตัวละครตัวโปรดของคุณมาเล่นได้ทุกที่ทุกเวลา
.
และถึงจะช้ากว่าตลาดไปนิดหน่อย แต่ Wild Rift ก็ถือว่าทำการบ้านมาครบรอบด้าน สำหรับการปรับปรุงเอา League of Legends ฉบับดั้งเดิม มาย่อนิดขยายหน่อย ให้เหมาะกับการเล่นบนสมาร์ทโฟนที่สุด
-
เรื่องแรกที่ผู้เล่นจาก PC ต้องปรับตัว ก็คือ
📌 การเปลี่ยนจากเลื่อนหน้าจอเอง มาเป็นการล็อคมุมกล้องกับแชมเปี้ยน
ซึ่งจะทำให้มุมกล้องถูกเลื่อนตลอดเวลา และอาจไม่สะดวกในการสอดส่องดูพื้นที่ รวมถึงบางคนก็ไม่สะดวกกับการเล่นตัวละครที่มี Mobiliity สูง ๆ ต้องพุ่งไปพุ่งมาด้วยเช่นกัน
.
ทั้งนี้แล้วเกมก็ยังทำให้คุณสามารถเลื่อนจอเองได้อยู่ เพียงแต่จะเน้นที่การล็อคกลางตัวแชมเปี้ยน (ตัวละครที่คุณควบคุม) เป็นหลัก
-
📌 ความง่ายของ Tutorial
ถูกส่งมอบให้ผู้เล่นแบบ Step by Step. เป็นมิตรในระดับที่ต่อให้คุณไม่เคยเล่น MOBA มาก่อนเลยก็เข้าใจ ส่วนฝั่งของผู้เล่นที่มีประสบการณ์แล้ว ก็มีปุ่ม Skip มาให้คุณกระโดดไปสู่เกมจริงได้เลยเหมือนกัน (แต่แนะนำว่าควรเล่น Tutorial เพราะยังไงก็ต้องเรียนรู้การควบคุมใหม่)
.
ความง่ายในการเริ่มต้นเล่นอีกอย่าง คือตัวเกมจัดวาง Preset ของตัวละครมาให้ล่วงหน้าเรียบร้อย เพื่อบอกอ้อม ๆ ว่าตัวที่คุณเลือกเป็น Role อะไร ควรใช้ Spell อะไร และแนะนำ Item ให้ว่าควรออกอะไรบ้างด้วย
-
📌 Controls
ดีไซน์วิธีการควบคุมใหม่ เพื่อให้เหมาะกับการเล่นแชมเปี้ยนทุก ๆ ตัวด้วยการทัช แทนการกดคีย์บอร์ดและเมาส์แบบเดิม
.
บางตัวที่เล่นบน PC ยาก มาเล่นบนมือถืออาจมีตัวช่วยให้มันง่ายขึ้น
หรือบางตัวเล่นง่ายบน PC แต่มาลงบนมือถือกลับยากกว่าเดิม
.
ตัวอย่างเช่น ตัวละครที่ยิงเป็น Skill Shot ต้องอาศัยการเล็งเป้าให้โดนศัตรู เกมก็จะช่วยเหลือให้ว่าคุณล็อคเป้าศัตรูตัวไหนอยู่แล้ว ก็กดแล้วปล่อยได้เลย สกิลที่ออกจะไปตรงเป้า โดยไม่ต้องเสียเวลากดค้างแล้วเล็งเอง
.
ส่วนนี้จะเป็นประโยชน์กับแชมเปี้ยนที่สกิลเป็นเล็งเป้าแบบออกท่าไว เช่น Yasuo (แทงดาบ) หรือ Zed (ปาดาวกระจาย) เพราะโอกาสโดนสูง แต่ถ้าตัวไหนออกสกิลเป็น Projectile ช้าหน่อยกว่าจะถึงเป้า เช่น Lux (ปาบอลแสง) หรือตัวละครอื่น ๆ ที่ควรต้องเล็งเผื่อว่าศัตรูจะหลบ ก็จะทำให้สุดท้ายแล้วต้องเสียเวลาเล็งเองอยู่ดี
.
ในแง่ที่เกมช่วยให้ง่ายขึ้นยังมีอีก อยู่ในรูปแบบของการปรับวิธีการใช้สกิลไปเลย เช่น Lee Sin ที่สามารถพุ่งตัวไปยังที่ว่าง ๆ ได้ทันที โดยไม่ต้องปัก Ward หรือเล็งไปที่เพื่อนก่อน หรือท่าไม้ตายของ Jhin ที่คุณสามารถกดตำแหน่งที่ต้องการเพื่อยิงได้ โดยไม่ต้องลากนิ้วเล็งให้ถูก
.
สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุผลว่า Riot Games ไม่สามารถยกเอาทุกตัวละครมาลงเวอร์ชั่นมือถือได้ทันที ต้องดูความเหมาะสมทั้งเรื่องการบังคับ และ Balance ให้แน่ใจก่อนเท่าที่จะทำได้ จึงค่อยปล่อยมาให้เล่นบนมือถือ
-
📌 Performance และ Graphic
Wild Rift ไม่กินสเปคอย่างที่คิด
ชิพเก่าหน่อย อายุ 2-3 ปี ก็สามารถทำ Framerate แตะที่ 60 ได้
ปรับแต่ง Graphic ได้ตามใจชอบ เข้าถึง Device ได้กว้างมาก ๆ แบบหายห่วง
.
กินแบตมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ส่วนตัวถ้าให้เทียบกับเกมอื่น ๆ ในเครื่องแล้ว Wild Rift ถือว่ากินน้อย อีกทั้งเครื่องก็ไม่ร้อนจนเกินไป เท่าที่ทดลองเล่นติดต่อกันหลาย ๆ เกมถือว่าน่าพึงพอใจเลย
.
ส่วนเรื่องกราฟิก สิ่งหนึ่งที่เกมนี้สะดุดตาเกมเมอร์เข้ามาก ๆ คือโมเดลของตัวละคร
เพราะ Riot ลงทุนปั้นใหม่ จนแทบจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าดูดีกว่าเกมต้นฉบับไปเยอะมากกก 55
.
เท่านั้นไม่พอ, Skin ของแต่ละตัวละครก็ขายกันอลังการ มีอนิเมชั่นหวือหวาให้ดูที่หน้า Store แบบที่เห็นแล้วมันจะซื้อให้ได้เลย ที่สุดของความใส่ใจ แน่นอนว่าแลกกับการที่ยังมีไม่มาก เพราะมันก็ต้องทำโมเดลใหม่ด้วยเหมือนกัน
.
ส่วนอื่นนอกเหนือจากเรื่องโมเดล ทั้ง Texture, สภาพแวดล้อม, เอฟเฟคต์สกิล อยู่ในคุณภาพระดับเดียวกันกับ PC ให้ความรู้สึกว่าเป็นแมพ Summoner’s Rift เดิม ๆ ที่คุ้นเคย อาจมีรายละเอียดต่างกันบ้างเล็กน้อย คือฝั่งของ Wild Rift จะให้สีสันที่สดใส เล่นแสงเงาได้เนียนตาขึ้น (ให้ฟีลดิสนีย์ขึ้นได้อีก) ตามความใหม่ของตัว Unity Engine ให้ดูเข้ากันกับยุคสมัยไปในตัว
-
📌 ความแตกต่างอื่น ๆ จากเวอร์ชั่น PC
ที่เห็นชัดที่สุดก็คือเรื่อง Item ที่มีให้เลือกใช้งานได้น้อยลงกว่าเดิม ไอเทมที่อยู่ในสายเดียวกันแต่ต่าง Passive มักจะถูกเลือกมาลงเกมนี้แค่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น (เช่น Infinity Edge เอาไว้ ส่วน Essence Reaver โดนตัดออก) หรือบางทีก็เอาออกไปเฉย ๆ เลย เช่น Hydra หรือ Guinsoo ที่ทำให้แอบสงสัยเหมือนกันว่ามันมีเหตุผลอื่นอะไรหรือเปล่า ที่ทำให้ไม่ได้ใส่เข้ามา หรืออาจจะเพิ่มตามมาในภายหลัง
.
ไอเทมจำนวนมากที่โดนตัดออก ทำให้ความหลากหลายในการเลือก Build น้อยลงอย่างน่าใจหายตามไปด้วย น่าจะไม่ถูกใจผู้เล่นกลุ่มไอเดียพิเรนทร์พอสมควร ทั้งนี้ก็แลกมากับมีไอเทมที่เป็น Exclusive เฉพาะบนมือถือเพิ่มมาให้บ้างเล็กน้อย
.
นอกเหนือจากเรื่องการตัดไอเทมออก, Wild Rift ยังปรับเปลี่ยนให้สามารถออกไอเทมประเภทกดใช้ได้แค่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น โดยจับมันไปไว้ใน Slot พิเศษ ให้ออกเป็นไอเทมต่อขึ้นมาจากรองเท้าแทน ทำให้โมเมนต์ที่เราจะได้เห็น Hecarim กดไอเทมแบบหมดหน้าตักจนวิ่งไวเป็นจรวดสเปซเอ็กซ์ ไม่มีทางเกิดขึ้นกับเกมนี้
.
รวมไปถึงเรื่องที่ว่า Teleport เอง ก็โดนเปลี่ยนสภาพจาก Spell มาเป็นไอเทมให้ออก นั่นทำให้ Teleport เป็นอะไรที่เข้าถึงได้ยากกว่าเดิม ไม่สามารถใช้ได้ตั้งแต่ช่วงต้นเกมอีกต่อไป
.
Scale หลาย ๆ อย่างถูกปรับให้เหมาะสมกับ Pace ของเกมที่รวดเร็ว เพิ่มจำนวนเงินที่ได้ เพื่อทำให้ไม่เสียเวลาฟาร์มมากเกินไป (แน่นอน - Nasus ก็ถูกปรับให้เก็บ Stack เร็วขึ้นด้วย !) เอา Inhibitor และป้อมหน้าฐานศัตรูออก ทำให้การจบเกมยิ่งทำได้ไวมากขึ้น ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการดีไซน์ให้สอดรับกับความกระชับฉับไว ตามแบบฉบับของเกมมือถือ และเชื่อว่า Riot Games เองก็ทำการบ้านมาดีไม่น้อย ที่จับเอา LoL เดิมมาย่อยลงมือถือแล้ว Balance ยังไม่พังมากนัก แบบเคยแอบกลัว ๆ ไว้ก่อนหน้า
-
📌 โดยรวมแล้ว.
Wild Rift เป็นเกมที่เข้าถึงได้แบบโคตรง่าย มาพร้อม User Experience ระดับพระกาฬที่พร้อมปูพรมแดงต้อนรับคนที่ไม่เคยรู้จัก LoL มาก่อนอย่างดี เล่นสนุกลุกนั่งสบาย แต่ยังคงไว้ซึ่งคอนเซ็ปต์การส่งเสริมให้เล่นกันเป็นทีม แบ่งหน้าที่ ตำแหน่ง และสื่อสารกันให้เข้าใจ เอาไว้อย่างเหนียวแน่นเช่นเคย
.
ด้วยแรงโปรโมต + ความน่าเชื่อถือที่ได้รับการสั่งสมมาเป็นทุนเดิมอยู่แล้วสำหรับแบรนด์ LoL นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเกมมือถือ ที่จะสามารถยืนระยะได้ยาวนานแน่นอน รวมถึงหายห่วงสำหรับพาร์ทของ Esports ด้วย เพราะต้องบอกว่า Riot เป็นค่ายที่พร้อมในด้านนี้ที่สุดเบอร์ต้น ๆ ของโลกอยู่แล้ว
-
League of Legends: Wild Rift
เกมยอดเยี่ยม ผู้คนยิ้มแย้ม แต่ไม่มี Shaco.
(รีวิวไว้ในเฟซส่วนตัว ปีเดียวกับที่เกมออก)
เกมที่ทั้งชอบทั้งเกลียด จาก Dev ที่ทั้งชอบทั้งเกลียดเหมือนกัน
เป็น Nioh ที่ลอกฉลากออก แล้วแปะป้าย Final Fantasy เข้าไป
ส่วนใหญ่รู้จักกันจากมีม chaos ที่เกมมันย้ำคีย์เวิร์ดนี้บ่อยจัดจนฮา สรุปว่าอ๋อ เล่นจริงก็เป็นงั้นแหละ เอะอะมึงก็เคออสหมดทุกอย่าง
แต่ประทับใจสุดคือคาแรคเตอร์ของพระเอกเกมนี้ พี่แกโคตร based นี่มันตัวแทนของพวกเราที่หลุดไปในโลกแฟนตาซีชัด ๆ ไม่เคยสนแม่งสักอย่าง กูมาเพื่อฆ่าเคออสและทำลายทุกความ cliche ของเกมนี้เท่านั้น
บอสกำลังจะแนะนำชื่อมันก็ไม่รอฟัง, NPC จะร่ายประโยคยาวแม่งก็ตัดบทบอกขอสั้น ๆ ดิ๊ หรือตอนคัตซีนกำลังตึง อยู่ดี ๆ พี่ก็สบถขึ้นมาว่าบูลชิท ใส่หูฟังเปิดเพลงนู สะบัดตูดเดินหนีไปเฉยเลย
ถ้าสนใจเล่น, ต้องเลือกเสียงพากย์อังกฤษเท่านั้นถือว่าขอ ไม่มีเกมญี่ปุ่นพากย์อังกฤษเกมไหนจะ soul เท่าเกมนี้อีกแล้วจริง ๆ
เกมที่ทั้งชอบทั้งเกลียด จาก Dev ที่ทั้งชอบทั้งเกลียดเหมือนกัน
เป็น Nioh ที่ลอกฉลากออก แล้วแปะป้าย Final Fantasy เข้าไป
ส่วนใหญ่รู้จักกันจากมีม chaos ที่เกมมันย้ำคีย์เวิร์ดนี้บ่อยจัดจนฮา สรุปว่าอ๋อ เล่นจริงก็เป็นงั้นแหละ เอะอะมึงก็เคออสหมดทุกอย่าง
แต่ประทับใจสุดคือคาแรคเตอร์ของพระเอกเกมนี้ พี่แกโคตร based นี่มันตัวแทนของพวกเราที่หลุดไปในโลกแฟนตาซีชัด ๆ ไม่เคยสนแม่งสักอย่าง กูมาเพื่อฆ่าเคออสและทำลายทุกความ cliche ของเกมนี้เท่านั้น
บอสกำลังจะแนะนำชื่อมันก็ไม่รอฟัง, NPC จะร่ายประโยคยาวแม่งก็ตัดบทบอกขอสั้น ๆ ดิ๊ หรือตอนคัตซีนกำลังตึง อยู่ดี ๆ พี่ก็สบถขึ้นมาว่าบูลชิท ใส่หูฟังเปิดเพลงนู สะบัดตูดเดินหนีไปเฉยเลย
ถ้าสนใจเล่น, ต้องเลือกเสียงพากย์อังกฤษเท่านั้นถือว่าขอ ไม่มีเกมญี่ปุ่นพากย์อังกฤษเกมไหนจะ soul เท่าเกมนี้อีกแล้วจริง ๆ
2022
(รีวิวไว้ในเฟซส่วนตัว ปีเดียวกับที่เกมออก)
เกมที่ยิ่งเล่น ก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความรักในการเล่นเกมของคนสร้าง
จุดที่ทำให้เราชอบจะคล้าย ๆ Elden Ring คือซ่อนความลับกันเก่งมาก และสนุกมากจริง ๆ ที่ได้เดินตะล่อมไปเรื่อยแล้วเจอความลับนู่นนี่นั่นไม่รู้จักจบ
แถมพัซเซิลบางอัน พอได้รู้เฉลยแล้วโคตร mindblown
เกมนี้ไม่มีระบบสอนเล่น ข้อมูลทุกอย่างนำเสนอผ่านหนังสืออาร์ตบุ๊กที่สวยน่ารักแบบมีร้อยให้ล้าน ไม่รู้มันทำขายมารึยัง ถ้ายังก็ทำเถอะ
เกมที่ยิ่งเล่น ก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความรักในการเล่นเกมของคนสร้าง
จุดที่ทำให้เราชอบจะคล้าย ๆ Elden Ring คือซ่อนความลับกันเก่งมาก และสนุกมากจริง ๆ ที่ได้เดินตะล่อมไปเรื่อยแล้วเจอความลับนู่นนี่นั่นไม่รู้จักจบ
แถมพัซเซิลบางอัน พอได้รู้เฉลยแล้วโคตร mindblown
เกมนี้ไม่มีระบบสอนเล่น ข้อมูลทุกอย่างนำเสนอผ่านหนังสืออาร์ตบุ๊กที่สวยน่ารักแบบมีร้อยให้ล้าน ไม่รู้มันทำขายมารึยัง ถ้ายังก็ทำเถอะ